posttoday

UNESCO หวั่น เทรนด์ท่องเที่ยวเน้น Selfie ลงโซเชียล บ่อนทำลายแหล่งมรดกโลก

09 กันยายน 2567

UNESCO กังวล! เทรนด์ Selfie Tourism ระบาดหนัก จนทำให้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งเกิดความแออัด ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายอย่างรวดเร็ว นักท่องเที่ยวบางส่วนยอมทำทุกวิธีทางจนฝ่าฝืนกฎระเบียบในท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อให้ได้ถ่ายภาพกับโบราณสถานและแหล่งมรดกโลก

Selfie Tourism คืออะไร

Selfie Tourism คือเทรนด์การท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญในแต่ละประเทศ เพื่อถ่ายเซลฟี่ลงโซเชียลมีเดียเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองได้ไปเยือนสถานที่แห่งนั้นแล้ว  ไม่ใช่เพื่อซึมซับประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ อย่างไรก็ตาม เทรนด์การท่องเที่ยวในลักษณะนี้ UNESCO ให้ความเห็นว่าไม่ต่างจากโรคระบาด

UNESCO หวั่น เทรนด์ท่องเที่ยวเน้น Selfie ลงโซเชียล บ่อนทำลายแหล่งมรดกโลก

Instagram ตัวเร่งให้เกิด Selfie Tourism

โซเชียลมีเดียโดยเฉพาะ Instagram ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เทรนด์การท่องเที่ยวแบบ Selfie Tourism เป็นที่นิยมมากขึ้น ซึ่งทาง UNESCO ได้ออกมาเตือนต่อพฤติกรรมดังกล่าวว่ากำลังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงทั่วโลก เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวที่แออัดมากขึ้นในแต่ละท้องถิ่นย่อมส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นนั้นๆ

นอกจากนี้  ปรากฏการณ์ท่องเที่ยวแบบ Selfie Tourism ยังทำให้สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่เคยเป็นที่รู้จักมาก่อนกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ สถานที่ลับก็กลายเป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวบุกเข้ามาเพื่อถ่ายเซลฟี่ หวังให้เป็นไวรัลบนโลกออนไลน์

เมือง Hallstatt ในออสเตรียถือเป็นตัวอย่างสถานที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก Selfie Tourism โดยเมืองดังกล่าวเป็นที่ล่ำลือว่าเป็นสถานที่ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ดิสนีย์สร้างหมู่บ้าน Arendelle ใน Frozen ขึ้นมา จนปัจจุบันเมืองดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวกว่าหนึ่งล้านคนหลั่งไหลเข้ามาทุกปีเพื่อถ่ายเซลฟี่กับหมู่บ้านที่มีฉากหลังเป็นภูเขาเหมือนอยู่ในเรื่อง Frozen 

กระแสนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างล้นหลามนี้ทำให้เมืองต้องสร้างรั้วกั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนมารวมตัวกันตามจุดถ่ายภาพยอดนิยม ขณะที่นายกเทศมนตรี Alexander Scheutz ให้ความเห็นต่อสื่อว่า ชาวเมือง Hallstatt ต้องการอาศัยกันอย่างสุขสงบ

ความไม่พอใจของคนท้องถิ่นต่อกระแสนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาอันเป็นผลมาจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนั้นกำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ไม่คาดคิดของโซเชียลมีเดียต่อการท่องเที่ยวและวิถีชีวิตของผู้คนในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม

UNESCO หวั่น เทรนด์ท่องเที่ยวเน้น Selfie ลงโซเชียล บ่อนทำลายแหล่งมรดกโลก

เมื่อการ Selfie กลายเป็นภัยคุกคามต่อแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม

เทรนด์การท่องเที่ยวแบบเน้นเซลฟี่ลงโซเชียลมีเดียเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองได้ไปเยือนสถานที่แห่งนั้นแล้ว ไม่เพียงแค่รบกวนการอยู่อาศัยของคนท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม 

UNESCO ได้ออกมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวหลายครั้ง เนื่องจากนักท่องเที่ยวยอมทำทุกวิธีทางไม่เว้นแม้กระทั่งฝ่าฝืนระเบียบและคำเตือนจากเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น เพื่อให้ได้ถ่ายภาพกับโบราณสถาน แหล่งมรดกโลก และผลกระทบที่ตามมาคือสถานที่นั้นๆพังทลายและทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม หลายเมืองเริ่มออกกฎระเบียบต่างๆเพื่อควบคุมผลกระทบจากเทรนด์ Selfie Tourism เช่น ในเมือง Portofino ประเทศอิตาลี หากนักท่องเที่ยวแวะตามจุดถ่ายภาพยอดนิยมนานเกินเวลาที่กำหนด จะต้องจ่ายค่าปรับราว 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ

UNESCO หวั่น เทรนด์ท่องเที่ยวเน้น Selfie ลงโซเชียล บ่อนทำลายแหล่งมรดกโลก

ถึงอย่างนั้น มาตรการและระเบียบต่างๆที่ออกมาเพื่อควบคุมพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวผู้คลั่งไคล้การเซลฟี่ถือว่าส่งผลเสียต่อบางเมืองที่ยังต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น ซึ่งทางโฆษกของ UNESCO ก็ได้ให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ว่า เป็นเรื่องยากที่จะรักษาสมดุลระหว่างการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในพื้นที่นั้นๆเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

เมื่อตั้งคำถามว่า หากทางการของแต่ละเมืองวางกรอบกำหนดแนวทางให้นักท่องเที่ยวมีความรับผิดชอบต่อสถานที่นั้นๆ จะช่วยทุเลาปัญหาดังกล่าวหรือไม่ โฆษกของ UNESCO ให้ความเห็นเพียงว่า กุญแจสำคัญของเรื่องนี้คือ “สามัญสำนึก” ของนักท่องเที่ยวที่ควรตระหนักได้ว่าต้องเคารพสถานที่และคนท้องถิ่น รวมถึงควรมีความสามารถในการยับยั้งความอยากของตนเอง ปัญหาดังกล่าวจึงจะได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน