ออกลุยฮานอยแล้วไปย่ำต่อที่ฮาลองเบย์
หลังจากก้าวเท้าลงจากเครื่องของสายการบิน "Jetstar Pacific" ซึ่งเป็นเที่ยวบินแรกของสายการบินราคาประหยัดแห่งนี้
โดย...พงศ์ พริบไหว
หลังจากก้าวเท้าลงจากเครื่องของสายการบิน "Jetstar Pacific" ซึ่งเป็นเที่ยวบินแรกของสายการบินราคาประหยัดแห่งนี้ ที่เปิดเส้นทางใหม่บินตรงกรุงเทพฯ-ฮานอย แน่นอนว่าการเปิดเส้นทางการบินใหม่ในครั้งนี้ ถือเป็นตัวเลือกให้นักท่องเที่ยวชาวไทยในการเดินทางมายังประเทศเวียดนามอีกหนึ่งทาง ที่ดูจะจับต้องได้ง่าย อีกทั้งว่ากันตามตรงการมีขึ้นของเที่ยวบินนี้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวบ้านเราที่กำลังนิยมมาเยือนเวียดนามได้มากขึ้น งานนี้นักท่องเที่ยวบ้านเราก็ยิ้มหน้าบานเดินทางกันอย่างสบายใจ
เดือนเมษาฯที่ท้องฟ้าไม่สดใส
เป็นวันที่อากาศสับสนดูท่าเหมือนฝนจะตก แต่ทีท่านั้นก็ดูเหมือนมันไม่มีจริง นั่นคือความรู้สึกแรกเมื่อได้มาเห็นฮานอยในช่วงต้นเดือน เม.ย. ซึ่งหากเป็นบ้านเรายามบ่ายๆ เช่นนี้ คงร้อนตับแลบแทบไม่กล้าก้าวเท้าออกจากบ้าน แต่เมื่อแบกสัมภาระเดินออกจากสนามบินนานาชาตินอยไบ (สนามบินของเมืองฮานอย) ขึ้นรถของมัคคุเทศก์ท้องถิ่นเท่านั้นแหละไอ้หนุ่มผู้ไม่เคยมาประเทศเวียดนามก็หายสงสัยทันที เพราะไกด์บอกว่าไอ้ท้องฟ้าบ้านเมืองนี้จะดูหม่นๆ เหมือนฝนจะตกตลอดปี คือเอาเป็นว่าใครมาเที่ยวถ้าได้เห็นท้องฟ้าเปิดที่เวียดนามคือคุณโชคดีจริงๆ นะ
สองไหล่ทางของในเขตจังหวัดกว่างนามถนนสายที่ตัดเข้าตัวเมืองฮานอย ดูคล้ายๆ กันหมด เขียวและเขียวดูสบายตาบรรยากาศชนบทๆ ด้วยชาวบ้านที่นี่ทำอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก แน่นอนว่าพวกเขาปลูกอะไรก็ขึ้นงอกงามเพราะน้ำดินอุดมสมบูรณ์ ผักที่ได้จากประเทศเวียดนามจึงเป็นผักที่สดและอร่อย เรียกได้ว่าผักคืออาหารหลักของคนเวียดนามและไม่เกินจริงมันจะเป็นอาหารหลักของนักเดินทางอย่างเราๆ ด้วย
นอกจากการทำการเกษตรของที่นี่จะเยอะจนชินตาแล้ว เวียดนามหากสังเกตดีๆ เราจะเห็นผู้หญิงทำงานกันกลางทุ่ง แบกน้ำที่หนักบนบ่าไปรดพืชผัก เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นไกด์แอบกระซิบบอกมาว่า ลูกผู้หญิงของประเทศนี้ขยันมากเพราะต้องทำงานสารพัดมากมายเท่าเทียมผู้ชาย ส่วนผู้ชายจะสบายหน่อยทำงานในเมือง ตกบ่ายก็มานั่งจิบเบียร์เย็นมือ พูดคุยสนทนากันข้างทาง พลางคิดในใจที่นี่แอบโหดร้ายเกินไป แต่ด้วยเป็นประเทศซึ่งผ่านสงครามและบริหารจัดการกันในแบบคอมมิวนิสต์ จึงทำให้เห็นการเอาตัวรอดของลูกผู้หญิงอย่างชัดเจน และแน่นอนบางครั้งรู้สึกนอบน้อมกับความอุตสาหะและหัวใจของผู้หญิงประเทศนี้จริงๆ
บ้านที่ทาสีไม่เสร็จและวิถีริมทาง
หลังจากที่เข้าพักที่โรงแรมหรูประจำฮานอยอย่าง “Pullman Hanoi” เพื่อเตรียมตัวเดินทางจากฮานอยไปยังอ่าวฮาลองเบย์ในเมืองกว่างนิงห์ ซึ่งเป็นจุดหมายในการเดินทางครั้งสำคัญในทริป หลังอาหารเย็นได้ไปดูเครื่องบินที่ถูกยิงตกกลางเมืองสมัยสงครามโลก สิ่งหนึ่งที่เห็นคือคนฮานอยยังคงทิ้งหลักฐานความเจ็บปวดไว้เตือนสติลูกหลาน ที่ใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบายในเวลาปัจจุบันให้ตระหนักถึงความสูญเสียในอดีต
นอกจากนั้นขณะที่เดินชมเมืองผ่านถนนสายแคบและรถราวิ่งกันอย่างหนวกหู กลับทำให้เห็นความแตกต่างของสถาปัตยกรรมการสร้างบ้านที่ลงตัว ซึ่งเป็นส่วนผสมแบบฝรั่งเศสและจีนอันดูเก๋เป็นเอกลักษณ์มากมายหลายจุด แต่สิ่งที่ทำให้แปลกใจที่สุดกลับไม่ใช่ตัวอาคาร แต่เป็นการทาสีบ้านของคนฮานอยซึ่งจะทาสีกันไม่รอบบ้าน คนรวยๆ เท่านั้นที่จะทาสีเกือบรอบตัวบ้านแต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะชาวบ้านมีความเชื่อว่าเอาเงินไปสร้างบ้านให้หลังใหญ่ๆ ดีกว่าเอาเงินไปทาสีให้สิ้นเปลือง แค่ทาโชว์ด้านหน้าก็พอแล้ว - -
พอเดินเที่ยวยามดึกเหนื่อยๆ แนะนำเลยว่าควรแวะลองอาหารข้างทาง ซึ่งในเมืองฮานอยมีเป็ดย่างและเฝอ อร่อย ราคาถูก รวมไปถึงเครื่องดื่มชนิดมึนเมาก็สามารถหารับประทานได้ที่ร้านลักษณะเช่นนี้ หากจะหานั่งเป็นบาร์ที่นี่จะไม่มีลักษณะเช่นบ้านเราแต่จะเน้นเป็นบาร์กลางคืนที่ขายชาและกาแฟแทน ส่วนร้านสะดวกซื้อบอกเลยว่าไม่มีให้เห็น ที่นี่จะมีแต่ร้านขายของซำข้างทาง เพราะคนที่นี่ไม่ยอมให้ร้านสะดวกซื้อเข้ามาในวิถีชีวิต แตกต่างจากบ้านเราที่เลี่ยงไม่ได้และมีเต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งนี่ถือเป็นจุดที่ทำให้เห็นความเข้มแข็งของชาวเมือง ที่ไม่ยอมให้ทุนนิยมเข้ามาทำลายวิถีชีวิต
ในตัวเมืองฮานอยนอกจากเดินชมเมืองเก่ายามค่ำคืนแล้ว การเดินช่วงกลางวันดูเมืองเก่าก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรพลาดแต่จะหงุดหงิดกับการจารจรและเสียงแตรถ อันนี้จากคำบอกเล่าของไกด์หากใครพลาดเดินไปถูกรถชนคนที่เดินอยู่ผิด (แบบนี้ก็มีด้วย) แต่ทว่ายามเช้าเราจะได้เห็นบรรยากาศของการค้าขาย การนั่งดื่มกาแฟของผู้คน การนั่งสนทนาซื้อขายหวยกันริมถนน (ที่นี่หวยออกทุกวัน) ซึ่งแนะนำว่าให้เดินไปบริเวณรอบๆ ทะเลสาบหว่านเกี๊ยม หรือทะเลสาบคืนดาบ จะมีตลาดและสิ่งน่าสนใจให้เดินชมได้ไม่เบื่อ ซึ่งหากใครพอมีเวลาไฮไลต์ของย่านเก่าคือ วัดหง็อกเซิน สุสานโฮจิมินห์ และการเข้าชมการแสดงประจำชาติหุ่นกระบอกน้ำ
กระแสลมทะเลและความงามของฮาลอง
จากเมืองฮานอยการเดินทางไปยังอ่าวฮาลองเบย์ ต้องนั่งรถบัสไปใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง แม้ระยะทางจะดูเหมือนไม่ไกลมาก แต่ด้วยกฎการจำกัดความเร็วที่ 60 กม./ชั่วโมง ทำให้การเดินทางด้วยรถไปต่างเมืองของประเทศเวียดนามดูไม่คล่องตัว หากมองในแง่ดีคือปลอดภัยมากๆ ในการเดินทาง แต่เหนืออื่นใดการเดินทางไปช้าๆ ในชนบทกลับทำให้เห็นความสวยงามและเรื่องราวบางอย่างตลอดเส้นทาง ซึ่งหนึ่งเรื่องพบเจอเสมอๆ คือเมื่อคนในครอบครัวเสียชีวิต ศพจะถูกนำมาฝังบนที่ดินเกษตร ซึ่งหากบ้านไหนไม่มีที่ดินก็ต้องเช่าที่นาเพื่อฝังร่างคนในครอบครัว นั่นทำให้เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นสุสานตลอดเส้นทาง
หลังจากเดินทางมาได้ 3 ชั่วโมงเต็ม จากฮานอยก็ถึงจุดพักสำคัญนั่นคือการไปถึงยังภูเอียนตื๋อ อารามศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขา อันเป็นที่เคารพของชาวเวียดนาม ซึ่งการไปถึงยอดเขาหากเป็นเมื่อก่อนจะต้องเดินเท้าขึ้นไป 4 วันเต็ม แต่ในปัจุบันทางขึ้นยอดเขาก็ไปง่ายด้วยกระเช้าเคเบิลใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ตรงนี้เราจะได้สัมผัสถึงไอหมอกและลมหนาว (ควรมีเสื้อหนาๆ ติดไปด้วย) ซึ่งจะเห็นบรรยากาศราวกับสรวงสวรรค์ อันเป็นสมญาของยอดเขาแห่งนี้ โดยบนยอดเขาภูเอียนตื๋อจะเต็มไปด้วยโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่หลงเหลือมาจากยุคสงคราม อาทิ วิหารแดง อารามใหญ่ และสถูปเจดีย์ที่มีอายุหลายร้อยปี ตรงนี้ว่ากันว่าหากใครเดินขึ้นมาเพื่อกราบไหว้ขอพรจะสมหวังกลับไป
เดินชมบรรยากาศธรรมชาติและความงามของสิ่งปลูกสร้างเพลินๆ ถึงเวลาที่ต้องเดินทางต่อยังเมืองกว่างนิงห์หรือในชื่อเดิมว่าฮาลอง ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกติดปากของคนเวียดนาม ที่นี่เป็นเมืองกำลังเจริญมีสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆ มากมาย อีกทั้งติดทะเลจึงทำให้เมืองแห่งนี้กำลังฮอตฮิตในหมู่ขาเที่ยว ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังอย่างอ่าวฮาลองเบย์ ที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และเมื่อไปถึงยังอ่าวเราจะต้องล่องเรือไปอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมง (พยายามมาก่อนเที่ยงจะได้มีเวลาเที่ยวเยอะ) เมื่อล่องเรือช่วงนี้จะได้เห็นทิวทัศน์ของเกาะหินปูน ต้องบอกเลยว่าสวยงามพอควร ล่องเรือไม่นานก็เข้าเทียบท่าเพื่อดูบรรยากาศข้างในเกาะอันโด่งดังอย่างถ้ำเทียง กุง (พระราชวังสวรรค์) ซึ่งถือเป็นจุดหมายสำคัญในการเข้ามาเที่ยวอ่าวฮาลองเบย์
บริเวณภายในถ้ำเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่สมชื่อ อีกทั้งเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยรูปร่างสวยงาม ที่ดูพลิ้วไหวไปกับแสงไฟซึ่งถูกจัดวางสลับสี ราวกับได้เข้าไปอยู่สถานที่ประหลาดในอีกดินแดนหนึ่งก็ไม่ปาน หากจะเดินในส่วนของถ้ำเทียง กุง โดยมองอย่างละเอียดที่นี่สามารถเดินได้เรื่อยๆ เพราะแต่ละจุดจะมีเรื่องเล่าต่างๆ ของหิน คล้ายสัตว์หรือสิ่งปลูกสร้างบ้างล่ะ ยืนดูกันได้ยาว จากนั้นสามารถล่องเรือไปชมเกาะต่างๆ ได้อีก หรือแม้แต่จะเลือกแวะถ้ำต่างๆ อันนี้ต้องคำนวณเวลาตามความเหมาะสม สำหรับในทริปนี้มีเวลาไม่มาก จึงได้อยู่ชมบรรยากาศแค่พออิ่มใจ ก่อนจะลอยเรือกลับไปเข้าท่า
นอกจากทะเลและหมู่เกาะที่เมืองกว่างนิงห์ ยังมีตลาดใหม่ฮาลองที่มีสิ้นค้าพื้นเมืองราคาถูกขาย แนะนำว่าหากค้างที่เมืองนี้ก็ควรแวะไปเดินเล่นที่นี่ดู ไม่ต้องห่วงว่าเรื่องต่อรองราคา เพราะแม่ค้าที่นี่พูดไทยเก่งมาก (ตลาดที่ฮานอยก็ด้วย) เดินเที่ยวจบแล้วก็แนะอีกนิดหน่อยให้เดินหาอาหารทะเลรับประทาน ที่นี่ย้ำเลยว่าอาหารประเภทหม้อไฟทะเลได้รับความนิยมมาก ซึ่งของเขาสดจริงๆ แถมราคาถูกมาก เป็นความสุขอิ่มๆ ทิ้งท้ายที่เหนือความคาดหมาย จริงๆ
ในเวลานี้คงต้องร่ำลาทริปนี้กันเสียที