Kansai อะไรก็ดี 2
ในที่สุดพวกเรา 5 ชีวิต จากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ก็ได้เวลาเคลื่อนพลออกจากสนามบิน
ในที่สุดพวกเรา 5 ชีวิต จากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ก็ได้เวลาเคลื่อนพลออกจากสนามบินคันไซไปยังกลางเมืองโอซากา การเดินทางจากสนามบินสู่เมืองของที่นี่ทำได้หลายวิธี ส่วนวิธีไหนจะดีที่สุดก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณและจุดหมายปลายทางครับ อย่าไปเชื่อบรรดากูรูมากจนเกินไปเพราะบ่อยครั้งที่การนั่งรถไฟกลับได้รับความยากลำบากกว่าการนั่งรถบัสเพราะรถไฟไม่ได้จอดส่งท่านที่หน้าโรงแรมในขณะที่ท่านมีสัมภาระมากกว่าคนละ 2 ชิ้น ยิ่งถ้าเจอฝนตกด้วยแล้วไม่อยากจะจินตนาการเลยครับ บรรดากูรูมักจะนำเสนอวิธีที่ประหยัดหรือคุ้มค่าที่สุด แต่สำหรับผมขอเติมคำว่าเหมาะสมที่สุดเข้าไปด้วยละกัน อย่างรอบนี้คณะของเรามีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ Namba City คำตอบที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุดก็คือการใช้รถไฟสาย Nankai ครับ และเป็นเรื่องปกติที่รถไฟจากสนามบินมักจะมีทางเลือกเสมอว่าจะนั่งแบบธรรมดาหรือแบบพิเศษ ไอ้แบบพิเศษนี่ก็มักจะคล้ายๆกันคือมีพื้นที่เก็บสัมภาระเฉพาะ มีที่นั่งที่สบายกว่าและใช้เวลาเดินทางสั้นกว่าหรือจอดป้ายน้อยกว่า เทียบง่ายๆ ก็นึกถึง Airport Rail Link บ้านเราที่มีขบวนปกติจอดทุกป้ายเรียกว่า City Line และด่วนพิเศษ Express Line ราคาก็จะต่างกันด้วย
เรานั่งรถไฟด่วนพิเศษ Rapi:t (ญี่ปุ่นอ่านว่า ราปิ๊ดโตะ ซึ่งย่อมาจาก Rapid Train) จากสนามบินคันไซไปสุดทางที่สถานี Namba พอดี ใครนอนโรงแรม Swissotel Nankai สบายสุดเพราะออกจากชานชาลามาก็ขึ้นลิฟต์ไปโรงแรมได้เลย แต่รอบนี้เราไม่ได้พักกันที่นี่ เขาให้แค่มาเยี่ยมชมสถานที่ช็อปปิ้งที่อยู่หลังสถานีชื่อ Namba Parks เท่านั้น โดยปกติคนไทยนั้นคุ้นเคยย่านนี้อยู่แล้ว ถ้าบอกว่าชินไซบาชินี่รู้จักกันแทบทุกคน แต่พอเป็นนัมบะบางท่านเริ่มไม่คุ้นหูทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว 2 ย่านนี้มันเชื่อมต่อกันเหมือนสำเพ็งต่อสะพานหันยังไงยังงั้น ญี่ปุ่นเขาเรียก 2 ย่านนี้รวมๆ กันว่าย่านมินามิเพราะอยู่ทางด้านใต้ของเมืองโอซากา แถบมินามินี้มีศูนย์การค้าใหญ่ๆ ครบวงจรอยู่เพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้นก็คือ Namba Parks นี่แหละปกติคนไทยที่ชอบมาเดินช็อปที่ชินไซบาชิเพราะร้านรวงมันเรียงรายติดกันเหมือนสำเพ็ง แต่หลังๆ นี่ผมเดินแล้วไม่ค่อยได้ของ มาเดินที่ Namba Parks นี่ได้เยอะกว่า เพราะตอบสนองความต้องการได้ทุกกลุ่มตั้งแต่เด็กเล็กไปจนผู้สูงวัย ช็อปได้ตั้งแต่ของเล่นที่ร้าน Toy“R”Us แฟชั่นแบรนด์ดังอย่าง Comme des Garcons ก็มี โลคัลแบรนด์อย่าง Ships, United Arrow หรือ NanoUniverse ก็มี รองเท้ายอดนิยม Onitsuka Tiger ก็มี ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านก็ไม่น้อย หรือจะเดินเล่น รับประทานข้าว ดูหนัง ที่นี่มีให้ครบเกือบทุกความต้องการผมเลยถือโอกาสเดินสำรวจร้านอาหารเสียหน่อยเพราะไม่ค่อยได้มีโอกาสมารับประทานข้าวที่นี่สักเท่าไหร่ ในรอบหลายปีที่ผ่านมาเคยมารับประทานเทมปุระแค่ครั้งเดียว ร้านอาหารส่วนใหญ่จะอยู่บนชั้น 5 และ 6 รวมๆ กันประมาณ 3040 ร้าน เห็นจะได้ จะรับประทานอาหารญี่ปุ่น เกาหลี จีน ฝรั่งมีครบ ผมเล็งๆไว้หลายร้านแต่มาปลงใจกับร้านหนึ่งซึ่งดูโหงวเฮ้งแล้วถูกใจที่สุดคือร้าน Tonteki
ร้านนี้มีจุดเริ่มต้นจากจังหวัดมิเอะ แล้วก็ขยับขยายสาขาไปยังโตเกียวและกระจายไปยังเมืองใหญ่หลายแห่งโดยเน้นขายสเต๊กหมูเป็นหลัก ไม่ใช่หมูไร้แบรนด์นะครับแต่เป็นเนื้อหมูจากจังหวัดคาโกชิมะ ซึ่งมีชื่อเสียงมาก คนไทยเราก็เริ่มคุ้นเคยกับหมูดำจากคาโกชิมะกันแล้ว แต่ของร้านนี้เขาเรียก Satsuma Pork ซึ่งคำว่า Satsuma ก็คือชื่อแคว้นเดิมของจังหวัด Kagoshima นั่นเอง อีกอย่างหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงไม่แพ้กันก็คือมันหวาน Satsuma Imo เมนูเด่นของร้านนี้คือสเต๊กหมูชิ้นโตขนาด 200 กรัม เสิร์ฟมาในกระทะพร้อมกะหล่ำปลีซอยอีกกองโต ราคาแค่ 1,000 เยน ถ้ารับประทานจุหน่อยก็เพิ่มขนาดเป็น 250 กรัม ราคา 1,200 เยน หรือจะเอาขนาด King Size (500 กรัม) ราคาก็เพียงแค่ 2,200 เยนเท่านั้น เป็นมื้ออาหารที่คุ้มค่าเงินมาก เนื้อหมูสันนอกชิ้นโตที่นำไปอบก่อนแล้วก็ค่อยมาย่างบนกระทะแบบ Slow Cook อีกที ราดด้วยซอสเกรวี่รสเข้มโรยด้วยกระเทียมสไลด์บางอบกรอบ มีกะหล่ำปลีฝอยที่ให้มาแบบไม่เสียดายของพร้อมข้าวเปล่าและซุป เนื้อหมูที่นุ่มชุ่มซอสอร่อยสมราคา การอบหมูก่อนย่างทำให้เนื้อหมูสุกและมีความนุ่มกระจายไปทั่วทั้งชิ้น รับประทานคู่กับกะหล่ำปลีช่วยตัดเลี่ยนได้ดีมาก ตอนแรกที่เห็นกองกะหล่ำปลียังนึกอยู่ในใจว่าให้มาทำไมตั้งเยอะแต่พอรับประทานไปถึงได้รู้ว่าเขากะมาพอดีแล้วผมว่าผมรับประทานเก่งแล้วนะครับแต่สเต๊กหมูขนาด 250 กรัม นี่ไม่หมดจริงๆ พยายามเต็มที่แล้วก็ไม่ไหว แนะนำเลยว่าถ้าไม่แน่จริงสั่งขนาดธรรมดา ราคา 1,000 เยน มาก็พอครับ แต่ถ้ากลัวว่ารัประทานเนื้อสันจะย่อยยาก ทางร้านก็มีเมนู Hamberger และ Cheese Hamberger ขนาด 300 กรัม ไว้บริการด้วยเช่นกัน สนนราคาก็แค่ 1,000 กับ 1,100 เยนเท่านั้น
หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้อเที่ยงราคาประหยัดแล้ว เราก็เดินตัดสถานีรถไฟ Namba ผ่านห้าง Takashimaya ข้ามถนนไปยังตรอก Doguyasuji ซึ่งเป็นตรอกที่อุดมไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือในการประกอบกิจการร้านอาหารใครจะเปิดร้านอาหารมาที่นี่มีของครบหมด ทั้งหม้อ กระทะ ตะหลิว ถ้วย ชาม ช้อนส้อม เครื่องกดซูชิ ฯลฯ รวมไปถึงเครื่องแบบพนักงาน แต่วันนี้ผมไม่ได้มาเดินซื้อของ เขาพามาทำกิจกรรมอย่างหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก จะเป็นอะไรคอยติดตามกันต่อได้ในสัปดาห์หน้าครับ