Kansai อะไรก้ดี 3
ตรงหน้าปากทางเข้าซอย Doguyasuji มีอาคารคลาสสิกอยู่แห่งหนึ่งชื่อ Namba Grand Kagetsu
ตรงหน้าปากทางเข้าซอย Doguyasuji มีอาคารคลาสสิกอยู่แห่งหนึ่งชื่อ Namba Grand Kagetsu อาคารแห่งนี้คือโรงละครสำหรับการแสดงตลกโดยเฉพาะ นักแสดงตลกจากค่าย Yoshimoto ซึ่งเป็นหนึ่งในค่ายตลกที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นพูดแบบนี้หลายท่าน อาจจะแปลกใจเพราะเมืองไทยมีแต่ค่ายเพลงค่ายหนัง แต่ที่ญี่ปุ่นโดยเฉพาะที่โอซาก้านี่กิจการตลกเฟื่องฟูมาก บรรดาดาราตลกชั้นนำของญี่ปุ่นส่วนใหญ่มาจากโอซาก้ากว่าครึ่ง รายการทีวีของญี่ปุ่นก็มักจะมีดาราตลกมาเป็นพิธีกรกันมากมาย ผิดกับบ้านเราที่ดาราตลกเป็นได้แค่ตัวเสริมจะมีก็แค่ไม่กี่รายการที่ดาราตลกสามารถเป็นพิธีกรหลัก และความมีอารมณ์ขันนั้นก็มีอยู่ในสายเลือดของคนโอซาก้าด้วย สังเกตว่าเวลาคุยกับคนโอซาก้าจึงมักจะมีเสียงฮาปนอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งก็เลยส่งผลดีให้กับกิจการค้าของคนโอซาก้าไปด้วยเพราะให้ความรู้สึกที่เป็นกันเองมากกว่า
แต่กิจกรรมที่ผมจะทำในวันนี้ไม่ใช่การมาดูตลกหรือฝึกการเล่นตลก แต่เป็นการมาลองทำอาหารจำลองครับ หลายท่านที่ชอบทานอาหารญี่ปุ่นคงคุ้นเคยกับอาหารจำลองที่อยู่หน้าร้านกันเป็นอย่างดี ผมว่าในบรรดาร้านอาหารทั้งโลกนี่ร้านอาหารญี่ปุ่นนั้นบรรเจิดสุดแล้ว การมีภาพอาหารในเมนูนั้นช่วยให้ลูกค้าพอนึกภาพอาหารตามได้ก็จริง แต่อาหารจำลองนี่มันเหนือชั้นกว่าเยอะครับ สมัยนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะเห็นกันจนชินตา แต่สำหรับผมและคนไทยที่หลงใหลในอาหารญี่ปุ่นเมื่อ 30 ปีที่แล้วนี่มันไม่ธรรมดาเลยครับ โดยเฉพาะแบบจำลองอาหารจำพวกเส้นนี่มันเกินจินตนาการ ภาพตะเกียบคีบเส้นอุด้งหรือราเมนขึ้นมาจากชามนี่มันประทับใจผมมาตั้งแต่ยังวัยรุ่น เคยดูสารคดีการทำอาหารจำลองมาก็มากแต่ไม่เคยมีโอกาสทำเองเสียที ครั้งนี้พอมีโอกาสได้ลองทำจริงๆ เลยตื่นเต้นมาก ร้านที่เขาพาไปทำชื่อร้าน Food Sample Art Gallery R&M เป็นร้านเล็กๆ ที่ต้องขึ้นบันไดไป ชั้น 2 จะเป็นที่ขายของ ส่วนชั้น 3 ก็เป็นที่ให้ทดลองทำอาหารจำลอง อาหารจำลองเกือบทั้งหมดที่เราเห็นกันส่วนใหญ่นั้นจะทำจากพลาสติกหรือซิลิโคน แต่สำหรับที่นี่ผมดูแล้ววัสดุที่ใช้น่าจะเป็นขี้ผึ้ง (Wax) ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้กันในยุคแรกๆ ของการทำอาหารจำลอง จึงเหมาะกับการนำมาให้คนทั่วไปหัดทำดู
อาหารชิ้นแรกที่ลองทำกันคือ กะหล่ำปลี ตอนที่ครูทำให้ดูนั้นมันง่ายเหลือเกิน แต่พอลองจริงๆ แล้วมันไม่ง่ายอย่างที่คิด ขั้นแรกก็ตักขี้ผึ้งเหลวสีขาวราดลงไปในถังน้ำที่บรรจุน้ำอุ่นไว้ เวลาราดก็ค่อยๆ ราดลงบนผิวหน้าของน้ำ แล้วก็ตักขี้ผึ้งเหลวสีเขียวในปริมาณที่มากกว่ามาราดซ้อนไปยังตอนบนของขี้ผึ้งสีขาว จากนั้นก็ใช้มือลากขี้ผึ้งลงไปในน้ำเพื่อให้กระจายตัวจนเป็นแผ่นคล้ายกับใบผัก การใช้น้ำอุ่นก็เพื่อทำให้ขี้ผึ้งแข็งตัวช้า ทำให้เรามีเวลามากพอที่จะปรับแต่งรูปทรงของขี้ผึ้งได้ เสร็จแล้วก็ม้วนใบผักให้ออกมาเป็นกะหล่ำปลี เทคนิคอยู่ตอนที่ลากไขลงน้ำนี่ถ้าลากไม่ดีใบก็จะสั้นเวลาม้วนก็จะออกมาไม่สวย และตอนม้วนถ้าม้วนไม่ดี ไม่เก็บมุมไปม้วนไป แทนที่จะออกมาเป็นกะหล่ำปลีก็จะกลายเป็นเปาะเปี๊ยะไปเสีย และถ้าม้วนช้าจนขี้ผึ้งเริ่มจับตัวจนแข็งก็จะทำให้แตกได้ในระหว่างม้วน หลังจากได้รูปออกมาพอเป็นกะหล่ำปลีแล้วก็ใช้มีดผ่ากลาง ถ้าตอนลากขี้ผึ้งลากได้ยาวและม้วนได้หลายชั้น ผ่าออกมาแล้วก็จะดูสวยงามและสมจริง ผมลองทำถึง 3 รอบ ถึงจะออกมาหน้าตาพอดูได้ ผิดกับคุณผู้หญิงอีกสี่ท่านที่ทำรอบเดียวก็ออกมาดี ชิ้นต่อมาคือการทำกุ้งเทมปุระแต่ไม่ได้ทำตัวกุ้งนะครับ ตัวกุ้งเขามีมาให้แล้ว ลองจับๆ ดูคือกุ้งที่ทำจากซิลิโคนซึ่งเคยดูจากในสารคดีนั่นเอง เราแค่มีหน้าที่ทำแป้งทอดที่อยู่รอบๆ ตัวกุ้งโดยการใช้กระบวยขนาดเล็กค่อยๆ เทขี้ผึ้งในระดับสูงให้ลงมาเป็นสาย เวลาโดนน้ำก็จะกระจายคล้ายแป้งเทมปุระทอด จากนั้นเราเอาหลังกุ้งกดลงไปบนแป้งให้จมลงต่ำ กะระดับผิวน้ำแล้วค่อยม้วนให้รอบตัวกุ้งก็จะได้กุ้งเทมปุระออกมาเกือบเหมือนของจริง อีกชิ้นนึงคือกระเจี๊ยบเทมปุระก็ทำคล้ายๆ กัน แค่เปลี่ยนจากกุ้งมาเป็นกระเจี๊ยบเท่านั้นแหละ รอบเทมปุระนี้ผมทำได้ดีกว่ากะหล่ำปลี ทำแค่รอบเดียวก็ออกมาสวย ผิดกับอีกสี่สาวที่ทำออกมาสู้ผมไม่ได้ สรุป 2 รอบเสมอกันครับ ทำเสร็จลองจัดเรียงใส่จานดูแล้วก็พอไปได้ครับ ใครสนใจอยากลองไปทำก็ขอให้ตั้งต้นที่ห้าง Takashimaya หน้าสถานีรถไฟนัมบะ ถ้ายืนหันหน้าเข้าห้างด้านหลังจะเป็นห้าง Marui ให้เดินเลียบห้าง Takashimaya ไปทางซ้าย เดินไปนิดเดียวจะเห็นร้าน MUJI อยู่ฝั่งตรงข้าม ให้เดินเข้าซอยข้างร้าน MUJI ไปประมาณ 200 เมตร ก็จะเจอร้าน Food Sample Art Gallery R&M อยู่ด้านขวา ย้ำว่าร้านเล็กมากๆ ให้สังเกตว่ามีบันไดขึ้นชั้น 2 อยู่หน้าร้าน นั่นแหละครับใช่เลย
เสร็จจากทำอาหารจำลองแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังบริเวณปราสาทโอซาก้า แต่ไม่ได้ไปเที่ยวปราสาทนะครับ เย็นนี้เรามีโปรแกรมไปล่องแม่น้ำโอกาวะชมวิวเมืองโอซาก้ากัน พอดีว่าท่าเรือต้นทางนั้นอยู่ตรงเชิงปราสาทโอซาก้าพอดี ใครไปเที่ยวปราสาทเสร็จแล้วก็สามารถนั่งเรือได้ โดยเฉพาะช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิจะยิ่งได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ เพราะสองฝั่งของแม่น้ำจะอุดมไปด้วยต้นซากุระที่บานสะพรั่งไปเกือบตลอดเส้นทาง สลับกับอาคารคลาสสิกอย่างโรงกษาปณ์หรือหอประชุมเก่าและสะพานสำคัญอีกหลายแห่ง เรือลำนี้มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า Suijo Bus Aqualiner ตัวเรือมีลักษณะพิเศษคือหลังคากรุกระจกทำให้มองเห็นวิวได้กว้างกว่า และยังสามารถลดระดับลงเพื่อให้ลอดใต้สะพานได้ด้วย สนนราคาค่าเรือก็อยู่ที่ท่านละ 850 เยน และ 1,300 เยน ในช่วงปกติ แต่ถ้าเป็นช่วงซากุระบานราคาจะขยับขึ้นไปอีกประมาณ 100 เยน ออกทุกชั่วโมงตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น สะดวกเวลาไหนเลือกกันเอาเองครับ