สองด้านลีกวนยู

29 มีนาคม 2558

ลีกวนยูบิดาแห่งชาติสิงคโปร์ได้ทำให้ทั่วโลกจดจำสิงคโปร์ได้ในฐานะ 1 ใน 4 เสือแห่งเอเชีย

ลีกวนยูบิดาแห่งชาติสิงคโปร์ได้ทำให้ทั่วโลกจดจำสิงคโปร์ได้ในฐานะ 1 ใน 4 เสือแห่งเอเชีย ซึ่งหากมองในยุคปัจจุบันสิงคโปร์คือความสำเร็จแห่งเอเชียที่ไม่มีใครปฏิเสธ ยากจะหาดินแดนเล็กๆ แห่งไหนในโลกที่มีกำลังเศรษฐกิจมหาศาล ที่ทั่วโลกต้องฟังเสียงตลอดมากว่าครึ่งศตวรรษ

แต่หากย้อนกลับไปในวันที่ 9 ส.ค. 1965 ที่มาเลเซียประกาศอัปเปหิเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งให้ไปเป็นประเทศของตัวเอง คนส่วนใหญ่คงเห็นแต่อนาคตอันมืดมน

สาเหตุที่มาเลเซียต้องอัปเปหิสิงคโปร์ในครั้งนั้น เนื่องจากความต่างกันทางวัฒนธรรมและแนวคิด ระหว่างชาวจีนที่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในแถบสิงคโปร์และชาวมลายู ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในฝั่งมาเลเซีย ปัญหาทางการเมืองต่างๆ นานา ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ และความต่างทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม ทำให้มาเลเซียขับไล่ไสส่งให้สิงคโปร์ไปยืนด้วยตัวเอง สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้มาเลเซียตัดสินใจง่ายขึ้น
ก็คือ สิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรที่ควรค่าใดๆ ที่ต้องรักษาไว้

เกาะสิงคโปร์มีขนาดเล็กกว่าเกาะฮ่องกงเสียอีก ความเล็กของสิงคโปร์ทำให้กองทัพอากาศสิงคโปร์ต้องเซ็นสัญญาการใช้น่านฟ้าพิเศษกับมาเลเซีย เพราะพอเครื่องบินรบบินขึ้นก็แทบจะกลายเป็นน่านฟ้าของมาเลเซียหมดแล้ว

อดีตสิงคโปร์เคยตกเป็นทั้งอาณานิคมของอังกฤษและญี่ปุ่น ประชาชนบนเกาะส่วนใหญ่เป็นชาวจีนโพ้นทะเล ที่อพยพมาตั้งรกรากเพื่อทำมาค้าขายมาเนิ่นนาน โดยมีชาวมลายูและอินเดียอยู่ปะปน ต้นตระกูลของลีกวนยูเป็นหนึ่งในชาวจีนที่อพยพที่มาตั้งรกรากที่นี่เช่นกัน แต่สภาพแวดล้อมของครอบครัวเขากลับได้รับอิทธิพลการศึกษาในแนวทางของอังกฤษมากกว่าจีน ลีกวนยูในวัยหนุ่มใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เขาพูดภาษาจีนไม่ได้ เขาจบการศึกษาจากอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 สำเนียงของเขาไร้ซึ่งสำเนียงอังกฤษ

เรื่องความสามารถทางภาษา ลีกวนยูยังใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ดีมาก เนื่องจากเคยทำงานอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นในยุคที่ญี่ปุ่นยึดครองเกาะสิงคโปร์เป็นอาณานิคม

ส่วนภาษาจีนนั้น ลีกวนยูเพิ่งเริ่มเรียนอย่างขะมักเขม้นเมื่อตอนอายุ 32 ปี จนสามารถสื่อสารภาษาจีนได้เมื่อวัยกลางคน เรื่องนี้บ่งบอกได้ว่าลีกวนยูเป็นคนมุ่งมั่นในการศึกษาขนาดไหน

ในวันที่ต้องออกมาตั้งประเทศใหม่ หนุ่มลีกวนยู อายุ 35 ปี ต้องเจอปัญหาน่ากังวลมากที่สุดในชีวิต คือ จะขับเคลื่อนสิงคโปร์ไปอย่างไร

ความกดดันและความผิดหวังต่อท่าทีของมาเลเซีย ทำให้วันนั้นเองลีกวนยูต้องหลั่งน้ำตาต่อหน้าสื่อมวลชน “ผมฝันมาตลอดถึงการรวมตัวกันระหว่างสิงคโปร์และมาเลเซีย”

แต่เมื่อความฝันเป็นจริงไม่ได้และวิกฤตกำลังก้าวเข้ามา หลังจากวันนั้นลีกวนยูประกาศกับลูกพรรคว่า

“ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพื่อเล่นเกมของคนอื่น ผมต้องรับผิดชอบชีวิตของคนหลายล้าน สิงคโปร์จะต้องอยู่รอด”

คำว่า “ต้องอยู่รอด” คงพอจะบรรยายได้ว่าสถานการณ์ตอนนั้นร่อแร่ขนาดไหน

สิงคโปร์ถูกรายล้อมไปด้วยประเทศใหญ่ ซึ่งวัฒนธรรมแตกต่างจากตนและถูกขับไสมาด้วยเหตุผลของความต่างทางวัฒนธรรม อาจเรียกได้ว่าเป็นอิสราเอลแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

และช่วงนั้นก็เป็นยุคที่ทั้งภัยจากคอมมิวนิสต์และอิทธิพลโลกเสรีของสหรัฐ ต่างต้องการครอบงำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้นำของเกาะที่ถูกปล่อยเกาะ จึงถือว่ามีต้นทุนติดลบ

ต้นทุนบวกที่พอมองเห็นคือ สิงคโปร์มีผู้นำเป็นลีกวนยูจะมีบุคลิกที่เด็ดขาด มุ่งมั่นชัดเจน ตรงไปตรงมา คำพูดแต่ละประโยคที่แสดงออกต่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ และวิสัยทัศน์ของเขาก็ล้วนน่าจับตามอง ลีกวนยูรู้ดีว่าสิ่งที่จะทำให้สิงคโปร์อยู่รอดได้อันดับแรก คือ “คนสิงคโปร์” คนสิงคโปร์ในยุคก่อนเป็นอย่างไร สะท้อนอยู่ในกฎระเบียบที่ขึ้นชื่อลือชาของสิงคโปร์ทุกวันนี้ ในกฎห้ามถ่มน้ำลาย ห้ามขายหมากฝรั่ง แม้แต่โทษเฆี่ยนเมื่อทำลายสาธารณสมบัติ

ถ้าจะให้เห็นภาพคนสิงคโปร์สมัยก่อนไม่ต่างกับภาพเหมารวมของนักท่องเที่ยวจีนในยุคปัจจุบัน หากจะทำให้คนมีคุณภาพ บ้านเมืองอยู่ในระเบียบ ลีกวนยูจึงเลือกใช้กฎที่เข้มงวด เขาถูกเสียดสีและต่อว่าจากต่างชาติมากมายเรื่องกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด สิงคโปร์ถูกขนานนามโดยชาวจีนจากไต้หวันและฮ่องกงว่า เป็น “ประเทศโรงพยาบาล” คือ สะอาดสะอ้านและเต็มไปด้วยกฎระเบียบ แต่ลีกวนยูก็ตอกกลับคำเสียดสีเหล่านี้อยู่เสมอ

“ผมเรียนรู้การบริหารบ้านเมืองจากอังกฤษและผมก็รู้ว่าอำนาจของกฎและวินัยของกองทัพญี่ปุ่น ทำให้อาชญากรรมในช่วงอาณานิคมเป็นศูนย์ได้!”

“หากตอนเริ่มต้นรัฐบาลไม่ได้เข้าแทรกแซงพฤติกรรมส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด ทั้งการจัดการเรื่องเพื่อนบ้าน ความเป็นอยู่ เสียงดังรบกวนระหว่างกัน จะถ่มจะถุยที่ไหนและอย่างไร จะใช้ภาษาอะไร ถ้าไม่ได้ทำอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ เราก็จะไม่มีความสำเร็จอย่างที่เห็นในวันนี้!”

สำหรับการลงโทษคนทิ้งขยะสมัยก่อน สิงคโปร์เคยใช้วิธีจับผู้กระทำผิดมาห้อยป้ายแขวนคอและประณามออกทีวี ผู้กระทำผิดบางคนทนกับการลบหลู่เช่นนี้ไม่ได้ ถึงขั้นฆ่าตัวตาย

เรื่องภาษาที่ใช้ในประเทศ ลีกวนยูตัดสินใจใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักและให้สถาบันการศึกษาในสิงคโปร์สอนภาษาอังกฤษอย่างเข้มงวด ทำเอามหาวิทยาลัยรัฐที่เคยใช้ภาษาจีนเรื่อยมาถึงขั้นเสียหลัก

ลีกวนยูยังมีความคิดจัดการคนในชาติอีกหลายอย่างที่คาดไม่ถึง การควบคุมชาวรักร่วมเพศ การส่งเสริมอย่างออกหน้าออกตาให้คนมีการศึกษามีลูกเยอะๆ

เขาเป็นผู้นำไม่กี่คนในโลกสมัยใหม่ที่ออกมาพูดว่าประชาธิปไตย 1 สิทธิ 1 เสียงเป็นไปไม่ได้ คนมีการศึกษา จะต้องมีเสียงมากกว่าคนไร้การศึกษา

ดูเหมือนลีกวนยูอาจจะไม่ใช่ผู้นำ “ไทยๆ” ที่จะต้องใส่ใจเสียงคนรากหญ้า แนวทางการพัฒนาสิงคโปร์ของเขา คือ ทำให้คนมีการศึกษาสูงขึ้น พ้นจากรากหญ้า แล้วค่อยมาคุยกันเรื่องพัฒนาประเทศ ส่วนจะพ้นรากหญ้าอย่างไรนั้น รัฐจะเข้ากำกับดูแลชี้ถูกชี้ผิดให้เอง

คล้ายกับเป็นรัฐเผด็จการอย่างที่หลายคนปรามาสว่าไว้ แต่จะบอกว่าลีกวนยูมีอุดมการณ์เผด็จการแบบที่ประเทศเผด็จการอื่นเป็นกันก็ไม่เชิง

เมื่อครั้งก่อนจีนแผ่นดินใหญ่เปิดประเทศ ลีกวนยูเคยส่งวิสัยทัศน์ไปถึงหูผู้นำจีนยุคปฏิวัติวัฒนธรรมว่า

“อย่างไรก็ตาม จีนต้องให้ประชาชนมีทรัพย์สิน อสังหาฯ เป็นของตัวเอง เพราะคนที่อยู่บนท้องถนนที่ร่วมประท้วงรุนแรงสุดโต่ง คือพวกที่ไม่มีทรัพย์สินอสังหาฯ เป็นของตัวเองให้ห่วง” ดูเหมือนว่าเบื้องหลังแนวคิดการบริหารของเขา ไม่ใช่อุดมการณ์ใดๆ แต่คืออะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อชาติ ต่อความรุ่งเรืองของสังคม

ส่วนความสุขของคนแต่ละคนจะมีขึ้นมาเองเมื่อประเทศเจริญรุ่งเรืองและอยู่ในระเบียบ

“แมวดำแมวขาว ถ้าจับหนูได้ ก็ถือเป็นแมวดี” ทั้งเติ้งเสี่ยวผิงและลีกวนยู ต่างชื่นชมการบริหารของกันและกันพอตัว

สิงคโปร์ยังคงเป็นประเทศที่มีอันดับความโปร่งใสไร้การทุจริตเป็นอันดับต้นๆ ของโลกไม่กี่ประเทศ ที่การชุมนุมทางการเมืองในที่สาธารณะเกินกว่า 5 คนต้องได้รับการอนุญาตจากตำรวจ

ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าสิงคโปร์ทุกวันนี้คือบุคลิกภาพของลีกวนยู ผู้นำอันดับต้นๆ ของเอเชียและของโลก

Thailand Web Stat