‘โอลีโอเคมีคัลส์’ โอกาสที่น่าจับตา
ด้วยกระแสรักษ์โลกและเทรนด์การหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพที่ขยายตัวกว้างขึ้นในปัจจุบัน
โดย...EIC | Economic Intelligence Center
ด้วยกระแสรักษ์โลกและเทรนด์การหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพที่ขยายตัวกว้างขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยจากสารเคมีตกค้างเริ่มเป็นที่นิยมและแพร่หลายมากขึ้น โดยเคมีภัณฑ์จากธรรมชาติ หรือที่รู้จักทั่วไปว่า โอลีโอเคมีคัลส์ (Oleochemicals) จึงเริ่มเป็นที่นิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคหลายประเภทแทนเคมีภัณฑ์ทั่วไปมากขึ้น
กลีเซอรีน (Glycerin) ถือเป็นเคมีภัณฑ์จากธรรมชาติประเภทหนึ่งที่นำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน นำไปเป็นวัตถุดิบหลักในการทำสบู่ ยาสระผม ครีมบำรุง เครื่องสำอาง เป็นต้น โดยความต้องการกลีเซอรีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องราว 11-13% ทั้งโลก ทั้งในรูปแบบกลีเซอรีนบริสุทธิ์ และผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญ มีสัดส่วนการนำเข้ากลีเซอรีนสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก และกว่า 50% นำเข้าจากอาเซียน และยังเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สำคัญหลายประเภท
นอกจากนี้ ยุโรปก็นับเป็นตลาดส่งออกสำคัญอีกแห่งหนึ่ง อีกทั้งกลีเซอรีนยังนำไปใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในการผลิตยาหลายชนิด เช่น ยาเฉพาะสำหรับรักษาโรคผิวหนัง ยารักษาแผลไฟลวก ซึ่งยุโรปมีสัดส่วนมูลค่าส่งออกยาสูงที่สุดของโลกกว่า 80% ของมูลค่าส่งออกยาทั้งหมด
สำหรับตลาดอาเซียนเองนั้นก็นับเป็นตลาดส่งออกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโอลีโอเคมีคัลส์อย่างสบู่กลีเซอรีนมีแนวโน้มเจาะตลาดได้มากขึ้น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาการนำเข้าเครื่องสำอางและสบู่ในอาเซียนเติบโตต่อเนื่องราว 4-5% ต่อปี โดยไทยเป็นผู้ส่งออกหลัก มีอัตราเติบโตเฉลี่ยราว 7% ต่อปี คิดเป็นมูลค่าส่งออกกว่าแสนล้านบาท ซึ่งลาวและเมียนมามีอัตราการเติบโตของการนำเข้าสินค้าประเภทนี้ จากไทยสูงที่สุดที่ 14% และ 12% ตามลำดับ นับเป็นมูลค่าส่งออกรวมกันกว่า 8,300 ล้านบาท
ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของลาวและเมียนมาทำให้ผู้บริโภคในประเทศมีรายได้ต่อหัวสูงขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าประเภทนี้สูงขึ้นตามมา ส่วนฟิลิปปินส์ก็มีโอกาสขยายตลาดเพิ่มเติมได้ ด้วยเป็นประเทศมีชื่อเสียงด้านธุรกิจสปาและการแพทย์อยู่แล้ว มีความต้องการเครื่องสำอางและสบู่ที่ผลิตจากอุตสาหกรรมนี้สูงขึ้นตามไปด้วย
ในปี 2558 ไทยมีการส่งออกกลีเซอรีนราว 33 ล้านลิตร/ปี นับเป็นผู้ส่งออกกลีเซอรีนอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซียมีปริมาณส่งออกสูงมากถึง 180 ล้านลิตร/ปี สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ข้อได้เปรียบหลักของไทยในอุตสาหกรรมนี้ คือ ความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ส่งผลให้สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ตลอดทั้งสายการผลิตและยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่กลีเซอรีนได้อย่างหลากหลาย ด้วยการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ ซึ่งการแปรรูปนั้นเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงกว่าการขายกลีเซอรีนบริสุทธิ์ถึง 7 เท่า ประกอบกับความมีชื่อเสียงและความแข็งแกร่งผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทยทำให้สามารถดึงดูดผู้ซื้อจากที่ต่างๆ ได้
ในทางกลับกัน แม้ว่าอินโดนีเซียจะมีความแข็งแกร่งอย่างมากในอุตสาหกรรมต้นน้ำอย่างการปลูกปาล์มน้ำมัน แต่ทว่าอุตสาหกรรมปลายน้ำในการแปรรูปผลิตภัณฑ์กลับยังไม่ค่อยมีความพร้อมมากนัก ทำให้ต้องส่งออกกลีเซอรีนบริสุทธิ์เป็นหลัก
อย่างไรก็ดี ไทยมีข้อเสียเปรียบอินโดนีเซียในด้านต้นทุนวัตถุดิบปาล์มน้ำมันที่สูงกว่ามาก เนื่องจากมีพื้นที่ในการเพาะปลูกน้อย และผลผลิตต่อไร่ต่ำ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงกว่า ดังนั้นถ้าหากไทยสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ของการผลิตปาล์มน้ำมันในพื้นที่ที่จำกัดให้สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องตามแผนพัฒนาพลังงานทางเลือกของไทยฉบับล่าสุดที่ตั้งเป้าหมายว่าในปี 2569 จะผลิตไบโอดีเซลให้ได้ 10 ล้านลิตร/วัน ก็จะทำให้มีกลีเซอรีนผลิตออกมาได้กว่า 1 ล้านลิตร/วัน (การผลิตไบโอดีเซลทุกๆ 10 ลิตร จะได้กลีเซอรีนประมาณ 1 ลิตร หรือราว 10%) อาจจะทำให้ต้นทุนวัตถุดิบต่อหน่วยต่ำลง ส่งผลให้ไทยสามารถแข่งขันกับผู้เล่นหลักในภูมิภาคอย่างอินโดนีเซียที่ปัจจุบันส่งออกกลีเซอรีนอยู่ที่ 8 แสนลิตร/วันได้
ในอนาคต อีไอซีมองว่ามีโอกาสสูงที่ไทยจะก้าวเข้ามาเป็นผู้ส่งออกโอลีโอเคมีคัลส์รายหลักในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะกลีเซอรีนบริสุทธิ์และกลีเซอรีนในรูปแบบผลิตภัณฑ์ แปรรูป เนื่องจากแผนพัฒนาพลังงานทางเลือกของไทยปีล่าสุด สนับสนุนให้มีความต้องการใช้ไบโอดีเซลและการผลิตที่สูงขึ้น ก็จะทำให้มีกลีเซอรีนซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการผลิตไบโอดีเซลออกมามากเช่นกัน
ประกอบกับนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐที่ผลักดัน ให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางเพราะไทยมีความพร้อมของอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ไทยก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ ในอาเซียน ทั้งการส่งออกในรูปแบบกลีเซอรีนบริสุทธิ์เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบและกลีเซอรีนในรูปแบบผลิตภัณฑ์ แปรรูป นับว่าจะช่วยสนับสนุนภาคการส่งออกของประเทศ ตลอดจนเป็นการเพิ่มรายได้และขยายตลาดให้ผู้ประกอบการไทยต่อไปในอนาคต