เวียดนามลุยโลจิสติกส์
รัฐบาลใหม่เวียดนาม ลุยแผนเร่งด่วนลดต้นทุนโลจิสติกส์ วางเป้าหมายลดต้นทุนขนส่งฯ เหลือ 18% ของจีพีดีรวมประเทศในปี 2563
รัฐบาลใหม่เวียดนาม ลุยแผนเร่งด่วนลดต้นทุนโลจิสติกส์ วางเป้าหมายลดต้นทุนขนส่งฯ เหลือ 18% ของจีพีดีรวมประเทศในปี 2563
รายงานข่าวสำนักข่าวเวียดนามนิวส์ เปิดเผยแผนพัฒนาเร่งด่วน (แอ็กชั่นแพลน) การขนส่งและกระจายสินค้า(โลจิสติกส์) ของประเทศ ภายใต้การนำของนายเหงียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีคนใหม่เวียดนาม ว่ารัฐบาลตั้งเป้าพัฒนาธุรกิจบริการในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับความต้องการในประเทศ พร้อมรองรับการค้าอาเซียนในอนาคต
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายลดต้นทุนโลจิสติกส์ในประเทศให้มีมูลค่าไม่เกิน 18% ของผลผลิตมวลรวมประเทศ (จีดีพี) จากปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 25% ของจีดีพีประเทศ ให้ได้ภายในปี 2563 เพื่อสนับสนุนการค้าการลงทุนของผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อย (เอสเอ็มอี) ในแต่ละพื้นที่ รวมถึงสร้างโอกาสแข่งขันให้กับกิจการโลจิสติกส์ท้องถิ่น ที่ปัจจุบันแบ่งตลาดส่วนใหญ่ให้กับผู้ประกอบการต่างชาติ
นายโด ซวน กว๋าง ประธานสมาคมโลจิสติกส์แห่งเวียดนาม กล่าวว่า รัฐบาลต้องเร่งแผนดังกล่าวเพื่อแก้วิกฤตผู้ประกอบการโลจิสติกส์ท้องถิ่นเวียดนามที่ถูกแย่งส่วนแบ่งตลาด โดยปัจจุบันมีบริษัทขนส่งสินค้าทางน้ำจากต่างชาติราว 3% ของบริษัทขนส่งทางน้ำทั้งหมดในเวียดนาม แต่กลับครองส่วนแบ่งการนำเข้าและส่งออกสินค้าทางน้ำในประเทศกว่า 80% ขณะที่ผู้ประกอบโลจิสติกส์ชาวเวียดนามกว่า 70% เป็นเอสเอ็มอีหรือรายย่อย ซึ่งมีเงินทุนเพียง 11.2 ล้านบาท ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางโอกาส การสร้างอาชีพของคนในท้องถิ่น
“อุตฯ โลจิสติกส์เวียดนาม มีศักยภาพมากทั้งจากภูมิศาสตร์ประเทศที่เชื่อมต่ออาเซียนกับเอเชีย รวมถึงการขยายตัวของการนำเข้าและส่งออกจากสนธิสัญญาทางการค้าทั้ง เออีซี ทีพีพี เอฟทีเอยุโรป โดยรัฐบาลต้องเร่งสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน พร้อมยกระดับความสามารถผู้ประกอบการและบุคลากร เพื่อโอกาสก้าวขึ้นเป็นฮับการขนส่งของอาเซียน” นายโด กล่าว
นายโว๋ เติน แท็งห์ ประธานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมในโฮจิมินห์ กล่าวว่า ตลาดโลจิสติกส์ในประเทศขยายตัวปีละ 20% ต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนจากประเทศจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐ ต่างเข้ามาจับจองพื้นที่ลงทุนในเวียดนาม จากสนธิสัญญาการค้าอย่างเอฟทีเอ ทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้ยกระดับคุณภาพบริการให้สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ จนความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ตลาดดังกล่าวยังคงเป็นของต่างชาติกว่า 80%
ขณะที่ปีนี้ คาดการส่งออกทางทะเลจะอยู่ที่ 470 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อนอยู่ที่ 427 ล้านตัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 560 ล้านตัน ภายในระยะเวลา 4 ปี