อายุความคดีล้มละลาย
โดย...เดชา กิตติวิทยานันท์
โดย...เดชา กิตติวิทยานันท์
เจ้าหนี้นำหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องล้มละลาย การนับอายุความนับจากวันที่ลูกหนี้ชำระหนี้บางส่วน หลังจากศาลมีคำพิพากษาออกไปอีก 10 ปี หากยังอยู่ในอายุความ 10 ปี หลังจากชำระหนี้บางส่วนมีสิทธินำหนี้ตามคำพิพากษาไปฟ้องล้มละลาย ถึงแม้จะเกิน 10 ปี นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
ตัวอย่างคำพิพากษาเกี่ยวกับอายุความคดีล้มละลาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5695/2558
การนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งอันถึงที่สุดมาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย ไม่ใช่การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้ แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุด มีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/32 คดีดังกล่าวศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2547 ซึ่งเป็นวันที่คดีถึงที่สุด อายุความจึงเริ่มนับ แต่ระหว่างยังไม่พ้นอายุความในวันที่ 21 ม.ค. 2554 จำเลยชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ 2,064,440 บาท ถือได้ว่าจำเลยรับสภาพหนี้ ย่อมมีผลให้อายุความสะดุดหยุดลง ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นจึงไม่นับเข้าในอายุความ ต้องเริ่มนับอายุความใหม่นับถัดจากวันที่ 21 ม.ค. 2554 ไปอีก 10 ปี ตามมาตรา 193/14(1) ประกอบมาตรา 193/15 การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2555 จึงอยู่ในกำหนดอายุความ 10 ปี โจทก์จึงมีสิทธินำมูลหนี้ตามคำพิพากษานั้นมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้ และแม้ว่าเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2554 จำเลยได้นำเงินไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน 2,064,440 บาท เพื่อให้โจทก์ถอนการบังคับคดีแพ่งเฉพาะจำเลย ซึ่งโจทก์ไม่ดำเนินการ แต่ก็เป็นเงินจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับยอดหนี้ตามคำพิพากษาและจำเลยคงเป็นหนี้โจทก์ถึงวันฟ้องรวม 12,584,200.40 บาท และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีก พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ต่อมาจำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ ต่อมาโจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติในชั้นนี้โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์โต้แย้งว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 15457/2542 ซึ่งพิพากษาเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2542 ให้ หจก.ต. และจำเลยร่วมกันชำระเงิน 6,193,320 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับแต่วันที่ 18 ก.ค. 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2 หมื่นบาท โจทก์อุทธรณ์และฎีกา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน คดีถึงที่สุดโดยศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาฎีกาเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2547 จำเลยกับพวกไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้ศาลแพ่งออกหมายบังคับคดี ต่อมาวันที่ 21 ม.ค. 2554 จำเลยได้นำเงิน 2,064,440 บาท ชำระหนี้บางส่วนตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์คำนวณแล้ว จำเลยยังเป็นหนี้ตามคำพิพากษา 12,584,200.40 บาท อันเงินจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทและเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้หรือไม่ เห็นว่า การนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งอันถึงที่สุดมาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย ไม่ใช่เรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้ แต่โจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุด มีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 โดยศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2547 ซึ่งเป็นวันที่คดีถึงที่สุด อายุความเริ่มนับแต่ระหว่างยังไม่พ้นอายุความในวันที่ 21 ม.ค. 2554 จำเลยชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ 2,064,440 บาท ถือว่าจำเลยรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องโดยชำระหนี้บางส่วน ย่อมมีผลให้อายุหยุดลง ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นจึงไม่นับเข้าในอายุความ ต้องเริ่มนับอายุความใหม่นับถัดจากวันที่ 21 ม.ค. 2554 ไปอีก 10 ปี ตามมาตรา 193/14(1) ประกอบมาตรา 193/15 การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2555 จึงอยู่ในอายุความ 10 ปี โจทก์จึงมีสิทธินำมูลหนี้ตามคำพิพากษานั้นมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้ ที่ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ขอให้จำเลยล้มละลายเมื่อพ้นระยะเวลาบังคับคดีแล้วไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และแม้ว่าเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2554 จำเลยได้นำเงินไปชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน 2,064,440 บาท เพื่อให้โจทก์ถอนการบังคับคดีแพ่งเฉพาะจำเลย ซึ่งโจทก์ไม่ดำเนินการ แต่ก็เป็นเงินจำนวนไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับยอดหนี้ตามคำพิพากษาและจำเลยคงเป็นหนี้โจทก์ถึงวันฟ้องเป็นเงินทั้งสิ้น 12,584,200.40 บาท และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีกเลย พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลล้มละลายกลางยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย สำหรับค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร