ชมคลิปในหลวงและพระราชินีพระราชทานสัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติเป็นภาษาฝรั่งเศส
สารคดีเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและครอบครัว เสด็จประพาสยุโรปเมื่อปี 2504
สารคดีเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและครอบครัว เสด็จประพาสยุโรปเมื่อปี 2504
จากวีดีโอคลิป Le Roi de Thailande en Famille (1961) ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชประทานสัมภาษณ์แก่สื่อต่างชาติเป็นภาษาฝรั่งเศสช่วงปี 1960 ซึ่งพระองค์ท่านเสด็จประพาสยุโรป ได้สร้างความประทับใจในพระอัจฉริยภาพของพระองค์แก่ผู้ได้ชม และเชื่อว่าพี่น้องชาวไทยอยากทราบถึงเนื้อความ Elleจึงได้สรุปเนื้อความเรื่องราวอันน่าชื่นใจมาแบ่งปันกัน เพราะยิ่งฟังยิ่งสำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ท่านทรงตั้งมั่นในธรรมและนึกถึงประชาชนของพระองค์เสมอ
จากคำบรรยายใต้คลิป ทราบว่านี่คือรายการที่อัดขึ้นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จเยือนประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปี 1960 พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระโอรสพระธิดา 4 พระองค์ โดยทรงรู้จักประเทศนี้เป็นอย่างดีด้วยเคยทรงประทับและเล่าเรียนในช่วงพระชนมายุ 5-23 ชันษา ในครั้งนี้พระองค์มาประทับอยู่ราว 6 เดือนเพื่อเสด็จเยี่ยมเยือนเมืองหลวงต่างๆในยุโรป และประทับที่วิลล่า Flonzaley ในเขต Puidoux- Chexbres
รายการเปิดฉากมาด้วยทิวทัศน์เมืองหนาว ผู้บรรยายเล่าว่าเราคงเคยได้ยินชื่อเมืองกรุงเทพ ซึ่งเป็นเมืองหลวงหนึ่งในเอเชียใต้กันมาบ้าง โอกาสนี้ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งติดทะเลสาปเจนีวาในเขต Lavaux ของสวิตเซอร์แลนด์ เราจะได้มาเข้าเฝ้ากษัตริย์ของประเทศไทย พระองค์เป็นกษัตริย์หนุ่ม วัย 33 ที่มีพระจริยวัตรงงดงาม ดำเนินชีวิตเรียบง่าย สมถะ ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี และเมื่ออยู่ในไทย พระองค์จะประทับที่วังปฎิบัติราชกรณียกิจต่างๆ ทรงเป็นห่วงใยและดูแลทุกข์สุขของราษฏร รวมถึงดูแลครอบครัวของพระองค์ ซึ่งตอนนี้มีพระราชินีและพระโอรสพระธิดาทั้ง 4 องค์
เมื่อเปิดภาพมาห้องรับรองและเริ่มสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ประทานโอกาสนี้ กล่าวชื่นชมความน่ารักสดใสของพระองค์หญิงทั้งสอง และขอให้ในหลวงและพระราชินีช่วยแนะนำชื่อ และอายุของทั้งสองพระองค์ พระราชินีได้ตรัสแนะนำองค์เล็กใกล้ท่านก่อน ว่า “องค์นี้ 3 ขวบครึ่ง และนามว่า จุฬาภรณ์ อาจจะออกเสียงยากหน่อย”จากนั้นแนะนำองค์ถัดไป “องค์นี้ 5 ขวบครึ่ง และนามว่า สิรินธร” ผู้สัมภาษณ์ถามถึงอุปนิสัย ทรงตอบว่าองค์เล็กจะค่อนข้างหวานเป็นผู้หญิงกว่า ส่วนองค์โตจะร่าเริง ซุกซน แอคทีฟกว่า โดยเราสังเกตได้ว่าสองพระองค์ทรงไม่เขินอายกล้อง มีการหยอกล้อ และขับร้องเพลงตลอดการสัมภาษณ์
ต่อมาผู้สัมภาษณ์เริ่มถามถึงการเยือน 14 ประเทศในยุโรป การมาพักที่สวิตเซอร์แลนด์ที่ในหลวงเคยประทับอยู่สมัยเยาว์พระชันษาและมีความผูกพัน และจุดประสงค์ของการมาเยี่ยมเยือนครั้งนี้ ในหลวงทรงตอบว่าทรงรู้จักเมืองและผู้คนที่นี่อย่างดี และจุดประสงค์การมาเยือนนั้นไม่ได้มาเพื่อค้นพบหรือดูศึกษาจากสถาบันต่างๆ แต่มาด้วยปรารถนาดี ไมตรีจิต และสัมพันธภาพส่วนพระองค์
ช่วงต่อมาผู้สัมภาษณ์เริ่มถามถึงเรื่องการทรงงาน เช่น ในหนึ่งวันของกษัตริย์เป็นอย่างไร ทรงตอบอย่างมีอารมณ์ขันเล็กน้อยว่า “เราก็ตื่นนอนน่ะสิ” จากนั้นทรงขยายความว่าถ้าจะให้พูดเจาะจงถึงหนึ่งวันปกติก็ค่อนข้างยากเพราะแต่ละวันมีงานต่างกันไป การทำงานนั้นสามารถร่วมปรึกษาหารือกับนายกและรัฐมนตรีได้ แต่ท่านไม่ได้เข้าในสภา ส่วนเรื่องสาธารณสุขก็เป็นเรื่องสำคัญเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน เป็นเรื่องที่ทรงใส่ใจเสมอ โดยเฉพาะในท้องถิ่นต่างจังหวัด ส่วนศาสนาเป็นใจหลักหนึ่งของประเทศ เป็นธรรมเนียมประเพณี เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน และเป็นวิถีการใช้ชีวิต
ต่อมาเริ่มถามถึงชีวิตส่วนพระองค์ เช่น งานอดิเรกที่ทรงโปรด ทรงตอบว่าดนตรีและกีฬา ด้านกีฬาอย่างแบดมินตัน ว่ายน้ำ สกีน้ำ และทรงเล่าถึงกีฬาในแบบของคนไทย เช่น การเล่นแข่งว่าว และเตะตะกร้อ รวมถึงอุปนิสัยของชาวไทยที่สนุก ยิ้มง่าย แต่ก็ขยันขันทำงานเช่นกัน
ในส่วนของดนตรีพระองค์เล่าว่า ทรงเริ่มเล่นแซกโซโฟนตอนอายุ 15 และแรงบันดาลใจให้ทรงเริ่มหัดแต่งเพลงเองนั้นเกิดจากความสงสัยใคร่รู้ ที่เห็นพระญาติองค์หนึ่งแต่เพลงได้ทั้งที่มิรู้โน้ตเพลงสักตัว จึงเริ่มสนใจและอยากลองบ้าง โดยเพลงแรกที่ทรงแต่งขึ้น ไม่ได้นำมาเผยแพร่เพราะรู้สึกยังไม่เพราะเท่าใด เมื่อแต่เพลงที่สอง ทรงแต่งทำนอง และให้พระญาติแต่งเนื้อร้องคือ Love at Sundown หรือยามเย็นที่ประทานให้ใช้ในงานการกุศล ผู้สัมภาษณ์ถามต่อว่า ทรงได้แรงบันดาลใจจากไหน เวลาแต่งต้องเป็นกลางวันหรือกลางคืน พระองค์ท่านทรงตอบว่า ไม่ได้มีช่วงเวลาไหนเฉพาะที่จะมานั่งเล่นนั่งแต่ง อาศัยยามว่างพักผ่อน เพราะงานของกษัตริย์รัดตัว เป็นงาน 24 ชั่วโมง
ผู้สัมภาษณ์ถามต่อว่า ทรงพูดถึงหน้าที่ของกษัตริย์เหมือนเป็นอาชีพหนึ่ง ในหลวงทรงตอบว่า ใช่เป็นเหมือนอาชีพ แต่เป็นอาชีพพิเศษสักหน่อย เพราะไม่ได้มีการเรียนการสอนสำหรับการมาเป็นกษัตริย์โดยเฉพาะ พูดโดยรวมคือ ต้องมีความเชี่ยวชาญ เรียนรู้ทุกเรื่อง มีพื้นฐานบ้างเพื่อที่จะเข้าใจปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ทีนี้ผู้สัมภาษณ์จึงถามต่อถึงแนวทางการเลี้ยงดูพระโอรสพระธิดาของพระองค์ว่าทรงเตรียมเด็กๆ สำหรับหน้าที่ในอนาคตอย่างไรในหลวงทรงตอบว่ายากเช่นกันเพราะขณะเดียวกันทรงปรารถนาให้ลูกมีทั้งชีวิตของเด็กปกติที่ได้วิ่งเล่นสนุกสนานไปโรงเรียนแต่ก็ยากเพราะไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเด็กปกตินอกเหนือจากนั้นชีวิตแบบเจ้าหญิงเจ้าชายก็ไม่ได้มีความสุขเหมือนนิทานจริงๆ แล้วลูกเรายังเป็นคนปุถุชนที่ทำผิดพลาดได้
จากนั้นภาพตัดไปที่พระองค์หญิงพระองค์ชายที่กำลังร่ำเรียนเขียนอ่านกันอย่างตั้งพระทัย และช่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกกลัวกล้องเลย และตอนท้ายกล้องจับภาพไปที่เจ้าฟ้าชาย
ตัดกลับมาผู้สัมภาษณ์ถามว่า ในหลวงทรงคิดว่าเจ้าฟ้าชายจะทรงทราบถึงความรับผิดชอบของพระองค์ที่จะเติบโตไปเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินหรือยัง ในหลวงทรงตอบว่า “ความรับผิดชอบคือ การรู้ผิดชอบชั่วดีด้วยองค์เอง ต่างจากประชาชนที่มีกฏหมายเป็นแนว หากทำผิดก็โดนจับ แต่สำหรับกษัตริย์เราอยู่เหนือ เราสอนลูกเราเสมอว่าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินต้องรู้ผิดชอบชั่วดีได้ด้วยองค์เอง”
ภาพตัดมาที่ทิวทัศน์เมืองริมทะเลสาปอีกครั้งและทีมงานขออวยพรให้กษัตริย์ของประเทศไทยและครอบครัวเสด็จกลับประเทศอย่างราบรื่นปลอดภัยในวันรุ่งขึ้นกลับสู่ดินแดนซึ่งชื่อมีความหมายว่าอิสระเสรี
ขอบคุณเนื้อหาจาก ElleThailand