เปิดประวัติสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย
จาก'เจริญกรุง' สู่ 'เพลินจิต' ทำความรู้จักที่มา"สถานทูตบริติช"ประจำประเทศไทย
จาก'เจริญกรุง' สู่ 'เพลินจิต' ทำความรู้จักที่มา"สถานทูตบริติช"ประจำประเทศไทย
หลังจากที่หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยนรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษโดยนาย บอริส จอห์นสัน รมว.ต่างประเทศของอังกฤษแถลงว่ารัฐบาลอังกฤษประกาศขายที่ดินของสถานเอกอัคราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ที่ตั้งอยู่บริเวณถนนเพลินจิต ให้แก่ฮ่องกง แลนด์ บริษัทร่วมทุนระหว่าง จาร์ดีน แมธทีสัน และเซ็นทรัล กรุ๊ป โดยเป็นการซื้อขายที่ดินที่ใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย และเป็นการขายสินทรัพย์ที่แพงที่สุดของกระการทรวงต่างประเทศอังกฤษ คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 420 ล้านปอนด์ หรือราว 1.86 หมื่นล้านบาท โดยทางรัฐบาลอังกฤษให้เหตุผลว่าจะนำเงินที่ขายที่ดินได้นั้นไปปรับปรุงสถานทูตแห่งอื่นๆทั่วโลก อันเนื่องมาจากสภาวะรัดเข็มขัดด้านงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษ
แน่นอนว่าหากมองในแง่มูลค่าของที่ดินที่เป็นที่ดินขนาดใหญ่ใจกลางย่านธุรกิจและมีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านคงไม่แปลกที่ที่ดินขนาด 25 ไร่ จะมีมูลค่าสูงถึงตร.ว.ละ 2 ล้านบาท แต่หากมองในมุมของมูลค่าทางประวัติศาสตร์ตัวแทนของรัฐบาลสหราชอาณาจักรในประเทศไทยนี้ มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวของกับประวัติไทยมายาวนาน
สำหรับประวัติของสถานทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ถูกยกฐานะขึ้นมาจากสถานกงสุลจักรวรรดิอังกฤษ แต่เดิมตั้งในเขตบางรัก ซึ่งติดอยู่กับแม่น้ำเจ้าพระยา โดยนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่4 ที่ทางอังกฤษส่งคณะผู้แทนมาเจรจาการค้ากับรัฐบาลสยามในสมัยนั้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ซื้อที่ดินพระราชทานให้ก่อตั้งสถานกงสุลอังกฤษจากชาวมอญและพม่า ในราคาตารางวาละ 1 บาท พร้อมพระราชทานเสาธงไม้ให้กับสถานกงสุลด้วย ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นของพระราชไมตรีและความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรก
ต่อมาบริเวณโดยรอบของทั้งสองริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามีโรงสีเกิดขึ้น 2 โรง และได้ปล่อยควันและเปิดหวูดเสียงดัง สร้างปัญหามลภาวะในการทำงานของเจ้าหน้าที่สถานกงสุลในยุคนั้น อีกทั้งตอนกลางคืนจะมีเสียงจากบรรดาร้านเหล้า และคนเมาอยู่ด้านหน้ารูปปั้นสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ท่านกงสุลจึงดำริให้ย้ายสถานกงสุลใหม่ โดยของเจรจาซื้อที่ดินจาก พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือ นายเลิศ ซึ่งถือครองที่ดินจำนวนมากในย่านเพลินจิต โดยมีเงื่อนไขว่า พระยาภักดีนรเศรษฐ ขอรับซื้อพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างของสถานกงสุลอังกฤษเดิมทั้งหมดด้วย เมื่อสถานกงสุลพิจารณาแล้วเห็นชอบจึงรับข้อเสนอและก่อสร้างอาคารสถานกงสุลใหม่ในที่ดินของนายเลิศ ทำให้ในปี พ.ศ. 2465 สถานกงสุลอังกฤษจึงย้ายที่ทำการมายังเพลินจิต ซึ่งในยุคนั้นถือว่าอยู่นอกเขตพระนคร
ส่วนที่ทำการเดิมของสถานกงสุลที่เจริญกรุงนั้นนายเลิศได้ไปเสนอขายกับรัฐบาลไทยในราคา 1,800,000 บาท โดยกระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้รับซื้อในปี พ.ศ. 2469 และถูกนำไปใช้เป็นที่ตั้งของสำนักงานไปรษณีย์โทรเลขกลาง ซึ่งก็คือ อาคารไปรษณีย์กลางบางรัก ถนนเจริญกรุง ในปัจจุบัน
ต่อมาในปี พ.ศ.2490 สถานกงสุลอังกฤษ บนพื้นที่ย่านเพลินจิต ถูกยกฐานะขึ้นเป็น สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย โดยมี เซอร์ เจฟฟรีย์ แฮร์ริงตัน ธอร์มสัน เป็นเอกอัคราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทยคนแรก
ปี พ.ศ.2549 สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร มีนโยบายขายที่ดินบางส่วนจำนวน 9 ไร่ ติดกับถนนเพลินจิต ซึ่งผลปรากฎว่า กลุ่มเซ็นทรัล ชนะการประมูล ต่อมา กลุ่มเซ็นทรัล ได้นำพื้นที่จำนวน 9 ไร่ นี้ไปก่อสร้างเป็น ศูนย์การค้าและโรงแรมในชื่อ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี
และล่าสุดในปีพ.ศ. 2560 สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร มีนโยบายขายที่ดิน 25 ไร่ ที่เหลือทั้งหมดของสถานทูต โดยมีแนวความคิดจะย้ายไปเช่าอาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ บนถนนสาทรเป็นที่ทำการแห่งใหม่แทน