ถอดบทสัมภาษณ์เจาะลึก "พลเอกประยุทธ์" กับ "ไทม์"
เปิดบทสัมภาษณ์เต็ม ไทม์ถาม ประยุทธ์ตอบ ประชาธิปไตยหรือเผด็จการ
เปิดบทสัมภาษณ์เต็ม ไทม์ถาม ประยุทธ์ตอบ ประชาธิปไตยหรือเผด็จการ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขึ้นปกนิตยสาร Time ฉบับวันที่ 2 กรกฏาคม ท่ามกลางการจับตามองว่าไทยจะเลือกเดินไปทางไหน ประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ผ่านบทสัมภาษณ์โดยชาร์ลี แคมป์เบลล์ และเฟลิซ โซโลมอน
ไทม์ : คุณทำงานในแวดวงทหารมาเป็นเวลาหลายปีและตอนนี้ก็มาทำงานในแวดวงการเมือง คุณมีวิธีการปรับตัวอย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ตนอาศัยประสบการณ์จากการทำงานในกองทัพมาใช้ในการบริหารประเทศ กองทัพมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ ไม่เพียงเฉพาะป้องกันและรักษาความมั่นคงภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐในการแก้ปัญหาภัยพิบัติต่างๆ
ไทม์ : ภายใต้การบริหารประเทศของคุณได้มีการผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำไมคุณถึงคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะช่วยให้ไทยกลับมามีเสถียรภาพและเป็นประชาธิปไตย
พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า รัฐธรรมนูญควรเสริมสร้างความมั่นใจให้กับต่างชาติ โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการลงประชามติสนับสนุน 60% คิดเป็นประชากรกว่า 16 ล้านคน ตนเชื่อมั่นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ีความชอบธรรมทางอำนาจเนื่องจากได้รับความเห็นชอบจากประชาชน โดยรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้เสนอทางออกให้กับปัญหาต่างๆ อาทิ สนับสนุนความร่วมมือภาคประชาชน ต่อต้านคอร์รัปชั่น ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหา
ไทม์ : กลุ่มผู้สนับสนุนนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อกดทับเสียงของพวกเขา คุณกังวลหรือไม่ว่าปัญหาเดิมจะเกิดขึ้นอีกหลังการเลือกตั้ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดาจะกังวลกับปัญหาดังกล่าว เนื่องจากไทยกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ของการเมืองไทยและประชาธิปไตยไทย เราพยายามแก้ไขปัญหานี้มานานกว่า 80 ปีแต่ก็ไม่ค่อยเกิดการเปลี่ยนแปลงนัก ประชาชนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเท่าใด และขณะนี้ไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เราต้องอดทนและเน้นความสนใจ ความเข้าใจ และความร่วมมือให้มากขึ้น
ในกรณีการละเมิดกฎหมายนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า มีเพียงกลุ่มคนเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่จงใจละเมิดกฎหมายและสร้างปัญหา
ไทม์ : เสียใจหรือไม่ที่ตัดสินใจยึดอำนาจ
การตัดสินใจยึดอำนาจเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิต ตนใช้เวลามากกว่า 6 เดือนเพื่อตัดสินใจ ไม่ได้ตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่าจะทำการรัฐประหาร เพียงแต่ตนไม่สามารถปล่อยให้ประเทศชาติเสียหายไปมากกว่านี้ ตนพยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น รับฟังทุกพรรคการเมือง รับฟังเสียงของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ ด้านและนำมาปรับใช้อย่างระมัดระวัง
พล.อ.ประยุทธ์ ยังระบุด้วยว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่อยากได้อำนาจมาด้วยวิธีการนี้ ไม่เคยคิดว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ประเทศชาติกำลังระส่ำระสายและตนไม่สามารถปล่อยผ่านได้
ไทม์ : เลือกระหว่างเผด็จการหรือประชาธิปไตย
ทุกอย่างสามารถพัฒนาไปในทิศทางที่ดีกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะเมื่อเรามีประชาธิปไตยที่เป็นมาตรฐานสากล บวกกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและมีธรรมาภิบาลที่พร้อมทำงานเพื่อประเทศ ทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในรัฐบาลชุดใหม่ สิ่งที่ตนกังวลคือทุกฝ่ายจะหวนกลับไปสู่จุดเดิมที่เคยเกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งก็จะนำไปสู่ปัญหาแบบเดิม แม้ว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมาตนได้ใช้อำนาจทางกฎหมายบางอย่างเพื่อรักษาเสถียรภาพและความสงบ แต่ก็อาจกลับไปสู่ความวุ่นวายแบบเดิมได้
ไทยติดกับดักรายได้ปานกลางมาตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 แม้ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาจะมีการใช้เครื่องจักรเบาและหนัก แต่ก็ไม่เห็นผลมากนัก โดยปัจจุบันโลกกำลังเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพื่อยกระดับสู่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง อาทิ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่เน้นกระตุ้นการลงทุนใน 3 จังหวัดอีสเทิร์นซีบอร์ด เน้นการวิจัยและพัฒนา สมาร์ทซิตี ซึ่งจะสอดคล้องไปกับเทคโนโลยีและการพัฒนาของโลก
ไทม์ : ความสัมพันธ์และการลงทุนจากจีนมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศอย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนดำเนินมาอย่างยาวนานกว่า 1,000 ปี ในขณะที่ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐยาวนานราว 200 ปี จีนถือเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย สหรัฐเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ทุกประเทศเป็นมิตรที่ดีต่อไทย ไทยเป็นประเทศเล็ก ดังนั้นเราจึงต้องรักษาสมดุลระหว่างการเมืองแลการต่างประเทศกับประเทศอื่น
ไทม์ : คุณคิดว่าความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐถดถอยลงหรือไม่ในช่วงที่ผ่านมา
พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามดังกล่าวว่า ตนมองว่าสหรัฐกำลังยุ่งอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศตัวเอง จึงอาจก่อให้เกิดช่องว่างบางอย่างระหว่างสหรัฐและชาติอาเซียน แม้ โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐจะไม่เคยมาเยือนไทย แต่ก็รู้จักประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนให้ประชาชนไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐมากขึ้น เช่นในภาคพลังงาน อีกทั้งยังเล็งยกระดับการค้าและการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างไทยกับสหรัฐด้วย เช่น เครื่องบิน
ไทม์ : ประชาธิปไตยไทยจะเป็นไปในทิศทางใด
รากฐานต้องเริ่มจากรัฐธรรมนูญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีประสิทธิภาพผ่านกระบวนการที่เหมาะสม ในแง่ของเสรีภาพและหลักสิทธิมนุษยชนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่า ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ละเมิดกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น มีเส้นกั้นบางๆ ระหว่างสิทธิมนุษยชนและการละเมิดกฎหมาย ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมาก เราไม่สามารถใส่ใจแต่เสียงข้างมากและละเลยเสียงข้างน้อยได้เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ไทม์ : ตามที่คุณได้พูดถึงหลักสิทธิมนุษยชนนั้น เมื่อไม่นานมานี้มีการจับกุมผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสันติในไทย หมายความว่า คนไทยไม่ได้รับอนุญาตให้ชุมนุมอย่างสันติหรือ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีช่องทางให้กลุ่มผู้ชุมนุมยื่นเสนอขอชุมนุม รัฐบาลฟังข้อเรียกร้องของพวกเขาและนำมาพิจารณา หากเราอนุญาตให้มีการชุมนุมได้อย่างเสรี อาจทำให้การเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น ตนต้องการนำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง ตนพยายามทำความเข้าใจข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม และไม่ต้องการใช้มาตรการทางกฎหมายในการจัดการพวกเขา ที่ผ่านมารัฐบาลได้ผ่อนปรนให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมมาโดยตลอด มีหลายครั้งที่ไม่มีการจับกุม รวมถึงปล่อยตัวให้เป็นอิสระ และตนมั่นใจว่า กลุ่มผู้ชุมนุมทราบดีว่ารัฐบาลไม่ได้เข้มงวดอย่างที่ควรจะเป็น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเรามองว่าพวกเขายังเป็นเด็ก
ไทม์ : คุณเชื่อมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่
กล่าวถึงความกังวลต่อหลักสิทธิมนุษยชนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่ามีกลุ่มคนที่ต้องการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ ตนรู้ว่าเป็นกลุ่มไหนแต่จะไม่ขอระบุเฉพาะเจาะจง โดยรัฐบาลมุ่งเน้นไปที่การนิยามคำว่า ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน คือการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบโดยรัฐ อันก่อให้เกิดความรุนแรงโดยไม่จำเป็นและมุ่งเน้นไปที่การทำร้ายร่างกาย รัฐบาลของตนไม่เคยปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว และได้ลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ อีกแง่หนึ่งนักกิจกรรมเหล่านี้กลับละเมิดสิทธิของผู้อื่น อันนำไปสู่ความไม่สงบต่างๆ ปิดช่องทางการจราจรส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้อื่น
ไทม์ : คุณโตที่โคราช แล้วทำไมถึงตัดสินใจมาเป็นทหาร
พล.อ.ประยุทธ์ ตอบกลับว่า ตนเกิดและเติบโตมาในครอบครัวทหาร ในค่ายทหาร จึงได้มีโอกาสสัมผัสการใช้ชีวิตอย่างมีวินัยมาตั้งแต่เด็กๆ ความแข็งแรง ความอึด และความอดทน ในสมัยนั้นการเป็นทหารเป็นการแสดงออกถึงความรักชาติ การต่อสู้แนวหน้าเพื่อปกป้องประเทศ ตนรู้สึกประทับใจมากและบอกกับตัวเองว่าจะขออุทิศชีวิตนี้เพื่อประเทศชาติและราชวงศ์ไทย ตนไม่เคยต้องการเป็นอย่างอื่นนอกจากเป็นทหาร และตนไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวมถึงเป็นนายกรัฐมนตรี
ไทม์ : เห็นได้ชัดว่าคุณชอบแต่งเพลง เคยคิดจะเป็นนักร้องอาชีพบ้างหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ตนชอบฟังเพลงทั้งไทยและสากล แต่ไม่คิดว่าตนร้องเพลงเพราะเท่าไรนัก สิ่งหนึ่งที่ผมฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กคือการอ่านและแต่งกลอน ราวกับสิ่งเหล่านี้ฝังอยู่ในสายเลือด คนไทยชอบทุกอย่างที่เป็นกลอนและกวี การแต่งและร้อยเรียงฉันทลักษณ์นั้นอาศัยความรู้สึกและจิตวิญญาณ แม้เพลงทีตนแต่งอาจจะไม่ไพเราะนัก แต่ก็เป็นวิธีการหนึ่งในการบอกเล่าความคิดและสื่อสารกับคนอื่น อย่างที่ได้บอกไปข้างต้น คนไทยรักบทกวี
ไทม์ : ในทำเนียบขาวมีการประดับภาพอดีตนายกรัฐมนตรี คุณได้วางแผนชีวิตหลังเกษียณไว้หรือยัง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนคงกลับไปอยู่ที่บ้านและใช้เวลาร่วมกับครอบครัว ผมทำงานในกองทัพกว่า 40 ปี แต่มีเวลาให้กับครอบครัวแค่ช่วง 10 ปีให้หลัง ช่วง 30 ปีแรกที่เป็นทหารผมต้องไปอยู่ต่างจังหวัด เพิ่งได้กลับมากรุงเทพฯ หลังขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตนอยากพาครอบครัวไปพักผ่อนเพราะไม่เคยทำเลย ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาครอบครัวของตนต้องเผชิญกับความยากลำบากและเสียสละชีวิตส่วนตัว ขาดอิสระเหมือนแต่ก่อน ครอบครัวสำคัญที่มากสำหรับตน
ไทม์ : จะเกษียณตัวเองหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือน ก.พ. หรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของอนาคต ยังไม่สามารถบอกได้ในขณะนี้ว่าจะทำอะไรต่อ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์และคนอื่นๆ ด้วย ตนไม่มีอำนาจเด็ดขาดในเรื่องนี้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามกลไกประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง และอื่นๆ ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกอะไรได้ล่วงหน้า
ไทม์ : คุณเติบโตในอิสาน คุณยังคงเอกลักษณ์ความเป็นลูกอิสานในตัวอยู่หรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ เล่าว่า พ่อของตนเป็นคนกรุงเทพ ส่วนแม่เป็นคนอิสาน ตนเป็นทหารสังกัดกองทัพไทยที่ทำงานเพื่อนประเทศชาติมายาวนานกว่า 40 ปี และตอนนี้ตนดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีของภาคเหนือหรือภาคอิสานเพียงอย่างเดียว ตนมีภารกิจที่ต้องปฏิบัติและทำให้เต็มที่ที่สุด นี่คือเอกลักษณ์ของตน
ไทม์ : คุณคิดว่าคุณจะสามารถแก้ไขปัญหาการแตกแยกในสังคมไทยได้หรือไม่
การนำมาซึ่งความสุข ความสงบ และความปรองดองสู่ประเทศชาติไม่ได้ขึ้นอยู่กับตนเพียงผู้เดียว แต่ขึ้นอยู่กับทุกภาคส่วนและความต้องการของประชาชนชาวไทยด้วย เราต้องหนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งประชาชนและนักการเมือง
อย่างไรก็ดี ยังมีบางภาคส่วนที่ต้องการสร้างปัญหา นี่เป็นเหตุผลที่ตนต้องเน้นย้ำคำสั่งของตน แต่ไม่สามารถออกคำสั่งที่รุนแรงหรือมิชอบได้ นี่เป็นสิ่งที่ตนกังวลมากที่สุด ตนจึงต้องพิจารณาหลายมุมมองอย่างระมัดระวังและวางแผนมาตรการต่างๆ อย่างเป็นระบบเพื่อการก้าวไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนของประเทศ