ชีวิตดั่งเทพนิยาย จากสามัญสู่บัลลังก์พระราชินี
โดย ... ชยพล พลวัฒน์ ข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
โดย ... ชยพล พลวัฒน์ ข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
ราชวงศ์ยุโรปในปัจจุบันพบว่าหลายประเทศมีพระอัครมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีที่ (Queen Consort) ที่มีพื้นเพมาจากครอบครัวสามัญชนอยู่ หลายพระองค์
โพสต์ทูเดย์ขอนำท่านผู้อ่านไปย้อนประวัติของพระราชินีผู้เป็นพระอัครมเหสีในพระมหากษัตริย์ของราชวงศ์ยุโรปหลายประเทศทั้งในอดีตและปัจจุบันกับเรื่องราวที่สุดแสนดั่งเทพนิยายและน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
เกรซ เคลลี ตำนานรักโลกตราตรึง
เริ่มเรื่องกันที่รักอันเป็นตำนานของเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก หรือที่หลายคนรู้จักกันว่า เกรซ เคลลี ผู้เป็นนักแสดงชาวอเมริกันที่ชีวิตเป็นยิ่งกว่าภาพยนตร์ที่เธอเคยแสดง จาก การที่เธอได้พบรักและแต่งงานกับเจ้าชายเรนิเยที่ 3 แห่งโมนาโก องค์ประมุขแห่ง
โมนาโก ประเทศขนาดเล็กทางตอนใต้ของฝรั่งเศส
เรื่องราวความรักดั่งเทพนิยายของเธอเริ่มต้นหลังจากที่เธอโลดแล่นในแวดวงการบันเทิง แล้ว จากการที่เธอได้มีโอกาสไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1955 พร้อมทั้ง เป็นช่วงเดียวกับที่เธอถ่ายภาพยนตร์เรื่อง To Catch a Thief (1955) ซึ่งถ่ายทำในทางใต้ของฝรั่งเศสใกล้พรมแดนกับโมนาโก
วันหนึ่งเธอได้รับเชิญให้ไปร่วมงานการกุศลที่พระราชวังในโมนาโก ขณะนั้นเองเธอได้ พบกับเจ้าชายเรนิเยร์ ผู้ปกครองแห่งโมนาโก
เรื่องราวความรักของทั้งสองดำเนินไปพร้อมๆกับการที่เกรซ เคลลี่ถ่ายทำภาพยนตร์สอง เรื่องสุดท้ายก่อนที่เธอจะตกลงแต่งงานกับเจ้าชายหลังจากที่ทั้งสองพบกันครั้งแรกในปีถัดมา
พิธีเสกสมรสของทั้งสองเกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เจ้าชายทรงส่งเรือไปรับนักแสดงสาวถึงสหรัฐ ก่อนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเป็นระยะทางนานถึง 8 วันเพื่อมาถึงยังโมนาโก ขณะนั้นมี ประชาชนเฝ้ารอการมาถึงของว่าที่เจ้าหญิงหลายหมื่นคน
แม้ทั้งสองจะศึกษาดูใจกันเพียงแค่ปีเดียว แต่ความรักของเจ้าชายเรนิเยที่มีต่ออดีตนัก แสดงผู้นี้ไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่เจ้าหญิงประสบ อุบัติเหตุทางรถยนต์จนสิ้นพระชนม์นั้น ในพิธีฝังพระศพปรากฎภาพของเจ้าชายเรนิเย ทรงร่ำไห้เป็นระยะ กระทั่งคราวที่เจ้าชายเรนิเยประชวรหนัก ทรงรับสั่งให้ฝังพระศพของ พระองค์ไว้เคียงข้างเจ้าหญิง
ซิลเวีย ซอมแมร์ลัธ "แดนซิงควีน"
สมเด็จพระราชินีซิลเวียแห่งสวีเดน เป็นพระราชินีในสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสวีเดน ทรงประสูติที่ประเทศเยอรมนี โดยพระองค์มาจากครอบครัวสามัญชนที่มีบิดาเป็นชาว เยอรมัน ส่วนมารดาเป็นชาวบราซิล
ทรงพบรักกับเจ้าชายคาร์ล กุสตาฟแห่งสวีเดนเมื่อคราวที่ทรงรับหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ถือ ป้ายในขบวนพาเหรดงานมหกรรมกีฬาโอลิมปิกมิวนิกในปี 1972 โดยตอนหลังทรงเปิด เผยว่าทรงรู้สึก "คลิ๊ก" กับเจ้าชายที่มาร่วมงานในขณะนั้น
ต่อมาในปี 1973 เจ้าชายคาร์ล กุสตาฟ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ แห่งสวีเดนต่อจากสมเด็จพระเจ้ากุสตาฟที่ 6 อดอล์ฟแห่งสวีเดน พระราชอัยยกาที่สวรรคตลง
พระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ ทรงประกาศอภิเสกสมรสกับ ซิลเวีย ซอมแมร์ลัธ เมื่อ วันที่ 15 กันยายน 1973 โดยนับเป็นพิธีเสกสมรสของกษัตริย์สวีเดนครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1797
งานเลี้ยงก่อนพิธีเสกสมรสมีการจัดแสดงดนตรีที่Royal Swedish Opera เพื่อร่วมฉลองในพิธีเสกสมรสของพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ กับ ซิลเวีย ซอมแมร์ลัธ โดยไฮไลท์ ในงานนี้คือการแสดงดนตรีของวง ABBA วงดนตรีดังในยุคนั้น ซึ่งได้มีการเปิดตัวเพลง Dancing Queen เป็นครั้งแรก เพื่อเป็นเกียรติให้กับว่าที่พระราชินีของสวีเดน จนต่อมา เพลงดังกล่าวได้กลายเป็นเพลงดังประจำของวง
เลตีเซีย ออร์ติซ อดีตนักข่าวสู่พระราชินีแห่งสเปน
เลตีเซีย ออร์ติซ โรกาโซลาโน คือพระนามเดิมของสมเด็จพระราชินีเลตีเซียแห่งสเปน พระองค์เป็นที่รู้จักในสาธารณะมาตั้งแต่ก่อนหน้าเป็นพระราชินีในฐานะนักข่าว และผู้ ประกาศข่าวประจำสำนักข่าว CNN ภาคภาษาสเปน และสถานีโทรทัศน์ TVE สื่อท้องถิ่น
ของสเปน
พระองค์เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งนึงกับ Alonso Guerrero Pérez อาจารย์ใน โรงเรียนมัธยม หลังจากที่ทั้งสองคบหากันมานาน 10 ปี ในปี 1998 แต่ชีวืตรักของทั้ง สองกลับไม่ราบรื่น พระองค์ทรงหย่าในปี 1999
ในช่วงที่ทรงเป็นนักข่าวทรงเคยมีประสบการณ์รายงานข่าวในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2001 และเคยทรงรายงานสดจากพื้นที่กราวซีโร่ หลังจากเหตุการณ์ 9/11
ปี 2004 สำนักพระราชวังสเปนได้ประกาศข่าวการหมั้นของเจ้าชายเฟลิเปมกุฎราชกุมารแห่งสเปน กับเลตีเซีย ออร์ติซ ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความเซอร์ไพร์ซให้กับสาธารณชนอยู่ไม่น้อย โดยหลังจากพิธีเสกสมรสทั้งสองพระองค์ทรงมีรัชทยาทสององค์คือ เลโอนอร์ เจ้าหญิงแห่งอัสตูเรียส มกุฎราชกุมารีแห่งสเปน และ อินฟันตาโซฟีอาแห่งสเปน
และในปี 2014 ทรงดำรงพระอิสริยศเป็นพระราชินีแห่งสเปนหลังจากที่พระราชสวามีคือ เจ้าชายเฟลิเปทรงราชาภิเษกเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 แห่งสเปน
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวความรักระหว่างหญิงสามัญชนกับเจ้าชายที่เปรียบดั่งเทพนิยาย แต่ทว่าก็มีเรื่องราวความรักระหว่างชนชั้นสูงด้วยกันที่เริ่มต้นไม่ค่อยสวยหรูสักเท่าไหร่เช่นกัน
ดังเช่นเรื่องราวความรักระหว่าง สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ กับ เจ้าชายเคลาส์ วาน อัมส์เบิร์ก ซึ่งเจ้าชายทรงมาจากสายตระกูลขุนนางเก่าแก่ของเยอรมัน
เจ้าชายเคลาส์กับเจ้าหญิงเบียทริกซ์ (พระยศในขณะนั้น) ทรงพบรักกันครั้งแรกในปี 1692 ในงานอภิเสกสมรสพระญาติของทั้งสองพระองค์
ความรักของทั้งสองพระองค์ต่างเป็นที่จับตามองอย่างมากต่อชาวดัตช์ในขณะนั้นเนื่องจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เจ้าชายทรงเคยเข้าร่วมเป็นยุวชนนาซีมาก่อนช่วงระหว่างปี 1938 - 1942 จากนั้นในปี 1944 ทรงถูกเกณฑ์ทหารเข้าร่วมรบในกองทัพนาซี ก่อนที่จะทรงถูกจับในฐานะเชลยศึกโดยทหารสัมพันธมิตรฝ่ายสหรัฐ
แม้ขณะนั้นจะผ่านช่วงเวลาสงครามมานานเกือบ 20 ปี แต่ชาวดัตช์ยังจำภาพความสูญเสียและเจ็บปวดจากสงครามในยุคนาซี ส่งผลให้หลังจากที่มีการประกาศข่าวการอภิเสกสมรสของทั้งสองพระองค์ต่อสาธาณะเกิดเสียงวิจารณ์ และไม่ยอมรับจากหลายฝ่าย
พิธีอภิเสกของพระองค์มีขึ้นในวันที่ 10 มีนาคม 1966 ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ด้วยเหตุว่ามีประชาชนออกมาประท้วงการแต่งงานตามท้องถนน จนกลายเป็นเหตุจลาจลขนาดย่อมๆ ความคิดเห็นต่อสาธารณะบางคนเชื่อว่าพระราชินีเบียทริกซ์จะทรงเป็นประมุของค์สุดท้ายของเนเธอร์แลนด์
อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านเลยไป เจ้าชายเคลาส์ วาน อัมส์เบิร์ก ในฐานะเจ้าชายพระราชสวามี ก็เริ่มเป็นที่ยอมรับต่อสาธาณะชน โดยเฉพาะในช่วงปลายพระชนม์ชีพทรงได้รับความเคารพจากประชาชนชาวเนเธอร์แลดน์อย่างสูงสุด จากงานด้านการกุศลต่างๆที่ทรงทำ พิธีศพของพระองค์จัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติในรูปแบบรัฐพิธีเฉกเดียวกับพิธีฝังพระศพของประมุขของรัฐ