ชนะโดยไม่ต้องรบ พิชิตมหาอำนาจด้วยกลศึกสามสงครามของพญามังกร
ยุทธศาสตร์แบบใหม่ แนวโน้มของการรบที่เลือดตกยางออกน้อยลง ใช้อาวุธน้อยลง แต่เกิดผลสะเทือนรุนแรง โดยเฉพาะผลด้านจิตวิทยา โดยกรกิจ ดิษฐาน
ยุทธศาสตร์แบบใหม่ แนวโน้มของการรบที่เลือดตกยางออกน้อยลง ใช้อาวุธน้อยลง แต่เกิดผลสะเทือนรุนแรง โดยเฉพาะผลด้านจิตวิทยา โดยกรกิจ ดิษฐาน
"สงครามไร้ขีดจำกัด" เขียนโดยเฉียวเหลียง พลตรีในกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนและนักทฤษฎีทางการ กับหวางเซียงซุ่ย ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเป่ยหัง อดีตพันเอกในกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน เป็นหนังสือเล่มแรกที่ไม่ใช่นิยายซึ่งได้รับการพิมพ์ใหม่ถึง 10 ครั้งในระยะเวลาเพียง 1 ปี ย่อมรับประกันได้ถึงคุณภาพของมันได้เป็นอย่างดี และในการพิมพ์ปี 2005 ก็ยังมีการรีวิวสถานการณ์หลังจากการพิมพ์ครั้งแรก พบว่าหลายเรื่องกลายเป็นความจริง โดยเฉพาะการที่สหรัฐใช้สงครามนอกระบบกับจีน เช่น สงครามเศรษฐกิจ
แต่ก่อนจะไปถึงจุดเริ่มต้นมหากาพย์สงครามเศรษฐกิจ เราต้องทำความเข้าใจวิธีการรบบนอกแบบในศตวรรษนี้กันก่อน
เริ่มที่ The Merciful Trend in Weapons หรือ แนวโน้มอาวุธที่มีเมตตา
"แนวโน้มอาวุธที่มีเมตตา" ไม่ได้หมายความว่าอาวุธจะฆ่าคน อาวุธยังฆ่าคนอยู่เช่นเดิม เพียงแต่มันจะฆ่าคนน้อยลงโดยจะหวังประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
หลังจากที่นานาประเทศสั่งสมอาวุธนิวเคลียร์กันมากขึ้น ก็เริ่มตระหนักว่าอาวุธทำลายล้างสูงที่ฆ่าคนได้เป็นหมื่นเป็นแสนไม่มีประโยชน์อะไร เพราะทำลายโลกของเราไปด้วย อาวุธนิวเคลียร์จึงเป็นทางตัน และสิ้นยุคสมัยของทฤษฎีสงครามที่มุ่งฆ่าให้มากที่สุด ทำลายศัตรูให้ยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข
กระแสการพัฒนาหวนกลับสู่ "สูงสุดยอดคืนสู่สามัญ" ตามหลักปรัชญาจีน คือ "อู้จี๋ ปี้ฝ่าน" เมื่ออะไรที่มันสุดโต่งเกินไป ถึงจุดหนึ่งแล้วมันจะพลิกกลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
นับจากนี้เป็นยุคแห่งมินิมัลลิสม์ด้านการรบ มีอาวุธที่แม่นยำและไม่เน้นฆ่าไม่เลือก เป้าหมายการพัฒนาอาวุธไม่ใช่ที่ความแข็งแกร่ง แต่เป็น "การมีความเมตตาที่ครอบคลุมขึ้น" อาวุธที่มีความแม่นยำจะยิงเข้าใส่เป้าหมายและทำให้เกิดความเสียหายน้อยกว่าผ่านการควบคุมอย่างดี ตัวอย่างแรกๆ ที่เราเห็นคือวิธีที่รัสเซียใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือและจรวดนำวิถีเพื่อสังหารผู้นำกบฎชาวเชเชน
ส่วนในสนามรบ แทนที่จะเน้นการฆ่าก็หันมาทำให้เกิดผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จนศัตรูแบกรับภาระหนักในการรักษาคนเจ็บ (ซึ่งกุนซือชาวจีนชี้ว่า การฆ่าคนและคนตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการอยู่แล้ว) แทนที่จะฆ่าทหาร การทำให้ทหารบาดเจ็บจะเป็นการสร้างความหวาดกลัวในใจทหารนายอื่นๆ และยังเป็นการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านสงครามที่ทรงพลังทำให้คนที่อยู่นอกสมรภูมิรู้สึกสะเทือนใจ
นี่คือแนวโน้มของการรบที่เลือดตกยางออกน้อยลง ใช้อาวุธน้อยลง แต่เกิดผลสะเทือนรุนแรง โดยเฉพาะผลด้านจิตวิทยา
นับแต่นี้สมรภูมิจะมีอยู่ในทุกที่ โดยเฉพาะสมรภูมิข้อมูลข่าวสารและพื้นที่เครือข่ายออนไลน์ ต่อไปนี้เส้นแบ่งระหว่างทหารและพลเรือน สมรภูมิและนอกสมรภูมิจะแยกแยะได้ยาก "สนามรบมีอยู่ทั่วไป ตั้งแต่ห้องคอมพิวเตอร์หรือจากพื้นซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ก็สามารถทำการโจมตีที่ร้ายแรงต่อต่างประเทศได้ ในโลกใบนี้มีที่ไหนบ้างที่ไม่ใช่สนามรบ? สนามรบอยู่ที่ไหน? มันมีอยู่ทุกที่" (หน้า 38 - 42)
ผู้เขียนเตือนว่า แต่เราไม่ควรตกหลุมพรางของความคิดที่ว่า "อาวุธเมตตา" ในที่สุดจะนำไปสู่สงครามไร้เลือดที่เล่นกันบนคอมพิวเตอร์
คำพูดนี้เหมือนเป็นคำทำนายสงครามโดรน ซึ่งอากาศยานไร้คนขับถูกบังคับจากหน้าจอ และโจมตีเป้าหมายจากมุมหนึ่งของโลก โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ แต่ยังอาจหมายถึงสงคราม "ข่าวปลอม" ที่ใช้ข้อมูลข่าวสารที่ปั้นขึ้นมาเป็นการเฉพาะเพื่อถล่มเป้าหมาย
คำถามก็คือ "ใครจะเป็นนักรบในสงครามแห่งอนาคต?"
ผู้เขียนบอกว่า สงครามไม่ได้สงวนไว้สำหรับทหารอาชีพอีกต่อไป พวกเขาเชื่อว่าพลเรือนกึ่งทหารที่จะเป็นนักรบในอนาคตคือ "แฮกเกอร์" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีทักษะทหาร แต่พึ่งพาทักษะด้านเทคนิคของตัวเองเจาะระบบคอมพิวเตอร์ความมั่นคงทางทหารและความมั่นคงของชาติ ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ทหารจีนที่ไม่พอใจกับการทารุณกรรมชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีนในสมัยประธานาธิบดีซูฮาร์โต ได้แฮกข้อมูลของรัฐบาลอินโดนีเซีย และทำให้โลกได้รับรู้ถึงความเลวร้ายของรัฐบาลและกองทัพอินโดนีเซีย
จีนใช้แฮกเกอร์ให้เป็นประโยชน์หรือไม่? เรามีแต่การยืนยันจากสื่อตะวันตกสายอนุรักษ์นิยม เช่น Foreign Policy ที่อ้างว่า จีนมีกองทัพแฮกเกอร์ประมาณ 50,000 - 100,000 เพื่อทำสงครามไซเบอร์ และจากการประเมินโดยผู้เขียนบทความ จีนถูกกล่าวหาเรื่องสงครามไซเบอร์ตั้งแต่ราวปี 2010
แต่สิ่งที่สหรัฐยังเคืองจีนไม่หาย คือการที่เจ้าของหนังสือเล่มนี้วิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำว่า สหรัฐจะถูกโจมตีจาก "องค์กรที่มิใช่รัฐ (ที่เป็น) ภัยคุกคามต่อโลกมากกว่าแฮกเกอร์" หนึ่งในนั้นคือบิน ลาเดน ที่ในขณะที่เขียนหนังสือเล่มนี้เพิ่งจะระเบิดสถานทูตสหรัฐในเคนยาและแทนซาเนีย ยังไม่ได้สั่งโจมตีนิวยอร์ก
เราจะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ปี 1999 จนถึงปีนี้ 2019 เป็นเวลาถึง 20 ปีแล้วที่จีนมองขาดว่า สมรภูมิใหม่คืออะไร และนักรบกลุ่มใหม่คือใคร แนวโน้มสงครามจะมีราคาถูกลงและผลเสียหายรุนแรง
ความจริงแล้วทัศนะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และคนในวงการยุทธศาสตร์รู้จักดีในชื่อ Grand strategy หรืออภิมหายุทธศาสตร์ คือการใช้ศักยภาพทุกอย่างทั้งการทหาร การเมืองและเศรษฐกิจเพื่อทำให้ชาติบรรลุเป้าหมายใหญ่ ซึ่งอาจเป็นเป้าหมายที่ใช้เวลาข้ามรุ่นกว่าจะบรรลุ หนึ่งในเจ้าทฤษฎีนี้คือ ลิดเดลล์ ฮาร์ท (B. H. Liddell Hart) นักประวัติศาสตร์การทหารชาวอังกฤษ
ลิดเดลล์ ฮาร์ท กล่าวว่า "สงครามจะดำเนินการในพื้นที่ที่ไม่ใช่สงคราม (nonwar spheres) หากต้องการชัยชนะในสงครามในอนาคต เราต้องเตรียมพร้อมทางสติปัญญาอย่างเต็มที่สำหรับสถานการณ์นี้ กล่าวคือพร้อมที่จะทำสงครามที่มีผลกระทบต่อทุกด้านของชีวิตในประเทศที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการในขอบเขตที่ไม่ถูกครอบงำโดยการปฏิบัติการทางทหาร" พูดง่ายๆ ก็คือ สมัยนี้เขาไม่รบกันด้วยอาวุธเพียงอย่างเดียวแล้ว
Grand strategy ของจีนก็คือ กาารที่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนผลักดันแนวคิด "การสงครามสามประเภท" (Three Warfares) คือสงครามสื่อ, สงครามจิตวิทยา และสงครามกฎหมาย ซึ่งเป็นแนวคิดที่อยู่ในหนัวสือสงครามไร้ขีดจำกัดนั่นเอง
สงครามสื่อ คือการใช้ข้อมูลข่าวสารสร้างเหตุปัจจัยที่เหมาะสม ในเวลานี้จีนอาจจะมีผลงานไม่ดีนักในการทำสงครามสื่อนอกประเทศ แต่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการสร้างกระแสชาตินิยมในประเทศ เราจะเห็นความล้มเหลวและความสำเร็จนี้ในช่วงที่เกิดการประท้วงฮ่องกง ซึ่งทั่วโลกมองจีนด้านลบ (เพราะการโจมตีของสื่อตะวันตก) แต่ในประเทศกลับปลุกกระแสชาตินิยมที่แรงกล้ามากในหมู่คนรุ่นใหม่
สงครามจิตวิทยา ตัวอย่างที่น่าสนใจก็คือการใช้นโยบายการผงาดโดยสันติ (Peaceful Rise) เพื่อทำให้ประชาคมโลกเข้าใจว่าจีนไม่มีเจตนาก้าวร้าว ไม่คิดที่จะก่อสงครามหรือรุกรานประเทศอื่น แนวทางหลักของการผงาดโดยสันติคือการโฆษณาเรื่องกองเรือของเจิ้งเหอในสมัยราชวงศ์หมิง เพื่อชี้ให้ชาวโลกได้เห็นว่า จีนมีแสนยานุภาพมาพอที่จะพิชิตทั่วโลกได้ แต่เลือกที่จะทำการค้าและแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมมากกว่า แนวทางนี้จีนใช้มากในช่วงปี 2010
สงครามกฎหมาย คือการใช้ประโยชน์จากกฎหมายในประเทศและต่างประเทศเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม เช่น การอ้างกฎหมายเพื่อแสวงหาความชอบธรรมให้จีน ขณะเดียวกันก็ใช้กฎหมายบั่นทอนความชอบธรรมของศัตรู อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นว่าจีนจะส่งกำลังทหารไปยังต่างแดนโดยรอมติของสมัชชาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเท่านั้น และกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้ จีนใช้วิธีส่งกำลังทหารไปปักหมุด พร้อมๆ กับยกหลักฐานต่างๆ นานา มาอ้างสิทธิเหนือดินแดนนี้ ดังนั้นการทำสงครามกฎหมายของจีนแข็งแกร่งจนหาช่องโหว่ได้ยาก
สมัยนี้เขาไม่รบกันด้วยอาวุธเพียงอย่างเดียว แล้วทำไมประเทศอย่างจีนจึงสะสมอาวุธไม่หยุดหย่อน และเพิ่มจะอวดอาวุธใหม่ๆ ในงานพาเหรดวันชาติ 1 ตุลาคม 2019?
นั่นเพราะเป้าหมายของจีนยังใช้การรบแบบเดิม วิธีสะสมอาวุธแบบเดิมโดยละเลยอำนาจทางเศรษฐกิจ ส่วน Grand strategy จะต้องทำควบคู่กันทั้งในทางการทหารและเศรษฐกิจ ในเวลานี้จีนก้าวถึงอันดับที่ 2 ในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแล้ว และเมื่อมีพลังทางเศรษฐกิจ จีนก็มีเงินทองมากมายที่จะพัฒนาอาวุธเพื่อ "ขู่"
ขณะที่สหรัฐประสบปัญหาอย่างมากในด้านเศรษฐกิจ มีการอัดงบประมาณด้านกลาโหมเพิ่มขึ้นทุกปี แต่มันเกิดขึ้นบนความเสียหายด้านสวัสดิการและความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องจากงบประมาณด้านนี้ถูกเฉือนไปช่วยกลาโหมด้วยความเร่งด่วนสุดๆ
เพราะในปี 2018 ยุทธศาสตร์การป้องกันชาติ (National Defence Strategy) ได้ระบุว่าจีนคือคู่แข่งสูงสุดไปเสียแล้ว
(ติดตามตอนต่อไป)