เฟซบุ๊คไม่มีทางเลือก ต้องยอมอ่อนข้อให้รัฐบาลไทย
บทวิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการเผชิญหน้าระหว่างเฟซบุ๊คและรัฐบาลไทยจากกรณีเพจหมิ่นเหม่
จากกรณีที่รัฐบาลไทยขอให้เฟซบุ๊คปิดกั้นการเข้าถึงกลุ่ม "รอยัลลิสต์ มาร์เก็ตเพลส" เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกิจกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบันหลักของชาติ และทางเฟซบุ๊คมีปฏิกริยาขัดขืนคำร้องขอนี้และจะดำเนินการทางกฎหมาย
โฆษกของเฟซบุ๊คบอกกับสำนักข่าว AFP ว่าถูกรัฐบาลไทย "บังคับ" ให้ลบกลุ่มออก แต่ว่า "คำขอเช่นนี้รุนแรงขัดต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแสดงออกของผู้คน"
เฟซบุ๊คบอกว่า "เราจะทำงานเพื่อปกป้องและพิทักษ์สิทธิ์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนและกำลังเตรียมที่จะท้าทายคำขอนี้ด้วยกระบวนการตามกฎหมาย"
บริษัทเฟซบุ๊คไม่ได้ให้รายละเอียดของการดำเนินการทางกฎหมาย แต่เตือนว่าท่าทีบีบคั้นของทางการไทยจะทำลายความน่าเชื่อถือด้านการลงทุนของไทย
ถึงแม้ว่าเฟซบุ๊คจะพูดอย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊คไม่ใช่องค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนที่ดำเนินการโดยไม่หวังผลกำไร และเรื่องเงินนี่แหละที่จะทำให้เฟซบุ๊คต้องยอมทำตามรัฐบาลไทย
จากสถิติประเทศที่มีผู้ใช้งานเฟซบุ๊คมากที่สุดในโลกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2020 พบว่าไทยมีผู้ใช้เฟซบุ๊คมากที่สุดอันดับที่ 8 ของโลกถึง 50 ล้านคน
ถ้าเฟซบุ๊คจะเดินหน้าชนรัฐบาลไทยด้วยกระบวนการทางกฎหมายในไทย เฟซบุ๊คก็ต้องเตรียมใจเอาไว้แต่เนิ่นๆ ว่า มีโอกาสแพ้สูงมาก เพราะรัฐบาลไทยจะมีน้ำหนักมากกว่าในเรื่องความมั่นคง
และในเมื่อเฟซบุ๊คฟ้องรัฐบาลไทยได้ รัฐบาลไทยก็ฟ้องเฟซบุ๊คได้เหมือนกัน มีช่องโหว่มากมายที่รัฐบาลไทยตอบโต้ เช่น อาจทำแบบสหรัฐที่ฟ้องเฟซบุ๊คฐานละเมิดกฎหมายสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนจากกรณี Cambridge Analytica ซึ่งเฟซบุ๊คยอมจ่ายค่าปรับให้รัฐบาลสหรัฐ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
เท่านั้นยังไม่พอ เฟซบุ๊คยังต้องจ่ายค่าปรับให้รัฐบาลอังกฤษ 500,000 ปอนด์ด้วยข้อหาเดียวกัน และยังเจอรัฐบาลออสเตรเลียฟ้องในข้อหาละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนเป็นเงินถึง 529,000 แสนล้านเหรียญสหรัฐ!
ถ้ารัฐบาลไทยใช้วิธีนี้บ้าง เฟซบุ๊คอาจจะต้องยอมถอยดีกว่าเสียเงิน
เอาเข้าจริงแล้วการที่เฟซบุ๊คอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนเพื่อขัดขืนรัฐบาลไทยดูเหมือนจะเป็นการถ่มน้ำลายรดฟ้า น้ำลายนั้นก็กลับมาตกใส่หน้าตัวเอง เพราะเฟซบุ๊คมีชนักติดหลังเรื่องละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ที่อื้อฉาวกว่านี้อีก
และมีตัวอย่างมาแล้วที่เฟซบุ๊คยอมอ่อนข้อให้ "รัฐบาลเผด็จการ" เพื่อกุมตลาดในประเทศนั้นเอาไว้ เช่น เวียดนามซึ่งมีผู้ใช้มากที่สุดอันดับ 7 ของโลกที่ 64 ล้านคน
ในกรณีของเวียดนามนั้นใช้ไม้แข็งเอามากๆ นั่นทำให้การเข้าถึงช้าลง จนอีกฝ่ายต้องยอมควบคุมเนื้อหาที่มีปัญหากับรัฐบาลเวียดนาม
ถามว่าใช้วิธีนี้แล้วพี่ใหญ่อย่างสหรัฐไม่โวยวายเอาหรือ? ตอบว่ารัฐบาลสหรัฐก็ต้องยอมให้เวียดนาม เพราะต้องการเอาเวียดนามมาเป็นพันธมิตรเพื่อเล่นงานจีน ดังนั้น เวียดนามเผด็จการแค่ไหนสหรัฐก็ทำเป็นหลับตาไม่รู้ไม่เห็น ตราบใดที่เวียดนามเป็นศัตรูกับจีนและตอบสนองกับสหรัฐในการต้านจีน
ที่เห็นชัดๆ คือกรณีเวียดนามเล่นงานเฟซบุ๊คช่วงต้นปี พอเข้ากลางปีเดือนกรกฎาคม ไมค์ พอมพีโอ แถลงว่าสหรัฐกับเวียดนามเป็นหุ้นส่วนกันบนผลประโยชน์ร่วมกัน และบอกว่าความสัมพันธืของทั้งสองประเทศ คือ “ตัวอย่างของความร่วมมือและหุ้นส่วนระหว่างประเทศ”
หมายความว่าถ้าสหรัฐยอมให้เวียดนามเล่นงานเฟซบุ๊คได้โดยแลกกับการเป็นหุ้นส่วนความมั่นคง ประเทศอื่นๆ ก็สามารถใช้วิธีการนี้ได้เช่นกัน
ในเวลานี้สหรัฐกำลังหาพวกในอาเซียนมาช่วยสู้กับจีน และไทยก็เนื้อหอมขึ้นทุกวัน สมมติว่ารัฐบาลไทยต่อรองกับรัฐบาลสหรัฐเรื่องความมั่นคงในภูมิภาค มีหรือรัฐบาลสหรัฐจะไม่ยอมคุยกับเฟซบุ๊คให้ช่วย "ดูแล" เนื้อหาที่หมิ่นเหม่กับความมั่นคงของไทย?
ดังนั้น ถ้าเฟซบุ๊คจะไปฟ้องศาลสหรัฐ ก็ต้องคำนวณดีๆ ว่าจะฟ้องรัฐบาลไทยข้อหาอะไร และต้องถามให้มั่นใจว่ารัฐบาลสหรัฐจะยอมให้เฟซบุ๊คฟ้องไทยหรือเปล่า
แน่นอนว่าเรื่องฟ้องร้องเป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายตุลาการ แต่รัฐบาลสหรัฐย่อมสามารถแทรกแซงเฟซบุ๊คโดยตรงได้เพื่อให้หยุดการกระทำเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้เฟซบุ๊คมีผลประโยชน์ที่ต้องกอบโกยโดยพยายามล็อบบี้รัฐบาลสหรัฐเพื่อเสียบแทน TikTok
ส่วนที่เฟซบุ๊คบอกว่าท่าทีบีบคั้นของไทยจะส่งผลต่อภาพลักษณ์การลงของไทยนั้นก็ให้ดูเวียดนามเป็นตัวอย่าง หลังจากที่มีเรื่องกับเฟซบุ๊คแล้ว เวียดนามยังมีการลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาไม่หยุดและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นเสรีภาพในการแสดงความเห็นกับศักยภาพในการทำธุรกิจมันเป็นคนละเรื่องกัน
กล่าวโดยสรุปก็คือ สุดท้ายแล้วเฟซบุ๊คก็ต้องยอมรัฐบาลไทย เพราะรัฐบาลไทยมีอาวุธหลายอย่างที่จะนำมาตอบโต้ ทั้งการฟ้องร้องเฟซบุ๊คกลับเรื่องละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือพยายามใช้มาตรการทางภาษี (นายกรัฐมนตรีพล.อ. ประยุทธิ์ จันทร์โอชา เคยแย้มเรื่องนี้ไว้คราวมาเยือนบางกอกโพสต์) และยังสามารถต่อรองกับรัฐบาลสหรัฐได้อีกด้วยหากต้องการจะทำ
มันจะไม่ใช่แค่การปิดกลุ่มหมิ่นเหม่ ต่อไปอาจนำไปสู่การควบคุมเนื้อหาทุกโพสต์ที่หมิ่นเหม่ ดังนั้นต่อให้กลุ่มหมิ่นเหม่ไปเปิดกลุ่มใหม่ รัฐบาลไทยก็จะใช้ไม้แข็งบดขยี้ผ่านเฟซบุ๊คไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น
นี่คือเริ่มต้นเท่านั้น
บทวิเคราะห์โดย กรกิจ ดิษฐาน
Photo by Mladen ANTONOV / AFP