ปารีส เมืองที่ไม่โรแมนติกอย่างที่ฝัน
แม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งความรัก หรือเมืองที่โรแมนติกที่สุดในโลก แต่อีกด้านหนึ่งกรุงปารีสของฝรั่งเศสก็มีความลับสีดำที่ไม่น่าพิสมัยซุกซ่อนอยู่
ความสวยงามของหอไอเฟล สถาปัตยกรรมตระการตา ขนมหวานแสนอร่อย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความโรแมนติก คือสิ่งที่ทุกคนพูดถึงเมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้ จึงไม่แปลกที่ปารีสจะติดหนึ่งในเมืองที่คู่รักอยากควงแขนกันไปฮันนีมูนมากที่สุดในทุกโพลล์ และแต่ละปียังมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกไปยลโฉมนับล้านๆ คน
ทว่าอีกแง่มุมหนึ่งปารีสไม่ได้โรแมนติกอย่างที่หลายคนคิดฝันหรือพูดไว้
บทความเรื่อง Why we call Paris the city of love and romance… but is it really? (ทำไมเราเรียกปารีสว่าเมืองแห่งความรักและโรแมนติก แล้วมันจริงมั้ย) ของสำนักข่าว The Local ระบุว่า ปารีสก็มีปัญหาไม่ต่างจากเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการจราจรติดขัด เสียงเอ็ดตะโร ค่าครองชีพสูง มิจฉาชีพเยอะ ขี้หมาเกลื่อนเมือง สถานีรถไฟที่มีแต่กลิ่นอับกลิ่นฉี่
เรื่องมิจฉาชีพเป็นของขึ้นชื่อที่สุดสำหรับปารีส แม้แต่ชาวปารีเซียงเองบางครั้งยังตกเป็นเหยื่อของคนพวกนี้ หรือแม้แต่คนดังอย่าง คิม คาร์ดาเชียน เซเลบริตีชื่อดังของฮอลลีวูดที่มีบอดีการ์ดประจำตัวยังถูกปล้นอย่างอุกอาจกลางกรุงปารีสมาแล้วเมื่อปี 2016 แล้วนักท่องเที่ยวจะไปเหลืออะไร
หนังสือพิมพ์ Le Parisien รายงานว่า การล้วงกระเป๋าในสถานีรถไฟในกรุงปารีสพุ่งขึ้นถึง 74% ในปี 2019 คือเพิ่มจาก 4,721 ครั้งเมื่อปีก่อนหน้าเป็น 7,485 ครั้ง โดยสถานีที่มีการก่อเหตุมากที่สุดคือ สถานี Châtelet-les-Halles หนึ่งในสถานีที่มีผู้คนใช้บริการมากที่สุดเนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟสายอื่น อีกแห่งหนึ่งคือสถานี Gare du Nord ซึ่งเป็นจุดบรรจบของรถไฟยูโรสตาร์และสายของรถไฟที่มุ่งหน้าที่ยังสนามบิน
เว็บไซต์ Travel+Leisure อ้างคำบอกเล่าของชาวปารีเซียงว่า เมโทรสาย 1 ซึ่งวิ่งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวฮิตอย่างพิพิธภัณฑ์ลูร์ฟ ประตูชัยฝรั่งเศส (อาร์กเดอทรียงฟ์) สวนสาธารณะตุยเลอรี เป็นจุดที่มิจฉาชีพมักจะเตร็ดเตร่ รวมทั้งสาย 2, 6, 8 และ 9 และยังลามไปถึงย่านมงต์มาร์ตด้วย
นอกจากนี้ ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวปารีเซียงยังทวีตเตือนเรื่องการล้วงกระเป๋ากันอยู่เนืองๆ ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งโพสต์เป็นภาษาฝรั่งเศสเกี่ยวกับเทคนิคใหม่ของแก๊งมิจฉาชีพว่า “มิจฉาชีพจะทำทีเป็นผู้พิการแล้วขอให้คุณสละที่นั่งในรถไฟให้ เพื่อทำให้คุณไม่ระวังตัวระหว่างที่กำลังลุกจากที่นั่ง”
ความสะอาดของกรุงปารีสก็ถูกพูดถึงในกลุ่มนักท่องเที่ยวไม่แพ้กัน เมื่อปี 2016 ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว 9 แห่งของญี่ปุ่น ถึงกับผุดโครงการทำความสะอาดกรุงปารีสครั้งใหญ่โดยร่วมมือกับ Japan Airlines และสมาคมการท่องเที่ยวปารีส เพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์มหานครที่ได้รับการขนานนามว่า “เมืองหลวงแห่งขี้หมา”
สาเหตุที่ชาวญี่ปุ่นต้องลงมือทำความสะอาดกรุงปารีสกันเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชาวญี่ปุ่นหลงใหลกรุงปารีสและนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวกันปีละนับล้านคน และบ่อยครั้งที่หลายคนต้องผิดหวังกลับบ้านไปเนื่องจากภาพจริงที่เห็นกับจินตนาการนั้นต่างกันลิบลับ
สำหรับชาวญี่ปุ่นเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจพวกเขามาก ในปี 1986 ญี่ปุ่นมีการระบุชื่ออาการป่วยกรณี “ผิดหวังกับปารีสอย่างรุนแรง” ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเรียกโรคนี้ว่า Paris Syndrome แม้จะดูเกินจริงแต่ทุกปีก็มีชาวญี่ปุ่นป่วยเป็นโรคนี้หลังจากมาเยือนเมืองหลวงแห่งความโรแมนติกแห่งนี้กันเฉลี่ย 12 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงในช่วงวัยเลข 3
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวหลายคนยังพบว่าคนฝรั่งเศสไม่พูดภาษาอังกฤษ หรือจะพูดให้ถูกก็คือปฏิเสธที่จะพูดภาษาอังกฤษ เพราะในโรงเรียนประถมของฝรั่งเศสก็มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ
รามีซ ซาเอ็ด เผยว่า “ชาวปารีเซียงไม่เป็นมิตร หยาบคาย และชอบทำหน้านิ่งๆ หรือหน้าเบื่อโลก”
ด้าน แมนดี เชอรี นักศึกษาชาวไอริชที่อาศัยอยู่ในกรุงปารีสมากว่า 3 ปีแล้ว ถึงกับทำคลิปลง TikTok แชร์เรื่องราวอีกด้านหนึ่งของกรุงปารีสที่ไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนเคยพูดไว้
เชอรีแชร์คลิปหลายคลิปที่บอกเล่าถึงความสกปรก มิจฉาชีพล้วงกระเป๋า และการประท้วงรายสัปดาห์ ซึ่งหนึ่งในคลิปเหล่านี้มียอดวิวสูงถึง 8.9 ล้าน และยอดไลค์อีก 1.4 ล้าน
เชอรีบอกว่า แน่นอนว่ามาปารีสต้องได้เจอกับความโรแมนติก แต่ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเจอกับขี้หมาเกลื่อนถนนและต้องกลั้นหายใจเมื่อต้องเดินผ่านควันเหม็นระหว่างที่กำลังเดินทางไปเดต รวมทั้งค่าครองชีพที่สูงและชาวปารีเซียงที่ไม่เป็นมิตร
“หลายคนคิดว่ามันจะโรแมนติกและเป็นสถานที่ที่เพอร์เฟกต์อย่างที่เราเห็นใน Emily in Paris แม้ความโรแมนติกจะมีอยู่จริงๆ ที่สำคัญคือคุณต้องท่องให้ขึ้นใจด้วยว่าในชีวิตจริงมันคือเมืองเมืองหนึ่งที่มีปัญหาต่างๆ”
อีกคลิปหนึ่งเชอรีเล่าถึงปัญหาอื่น อาทิ อพาร์ทเม้นต์ขนาดเล็ก ดรามาต่างๆ ในรถเมโทร ชาวปารีเซียงที่หบายคาย และความจริงที่ว่านักท่องเที่ยวจะต้องเรียนรู้การพูดภาษาฝรั่งเศส
แต่ถึงอย่างนั้นเชอรีก็ยังรักไลฟ์สไตล์และแฟชั่นของกรุงปารีส และยังเชิญชวนคนอื่นๆ ไปเที่ยวที่นั่น “ฉันหวังว่าจะมีคนเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าคุณสามารถหลงรักเมืองเมืองหนึ่งได้แม้ว่ามันจะมีข้อเสียไปบ้างก็ตาม”
นอกจากนี้ คลิปในยูทูบ Macintyre Worlds Toughest Towns – Paris ของโดนัลด์ แม็คอินไทร์ เมื่อปี 2010 บอกเล่าเรื่องราวของกรุงปารีสในช่วงนั้นไว้ว่า
ปารีสเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ แต่ความสัมพันธ์ของมันออกไปในทางแตกแยกมากกว่าปรองดองในตัวเมืองชั้นในซึ่งเป็นที่ตั้งของชองเซลิเซ่เป็นถิ่นที่อยู่ของชนชั้นกลางและผู้มีฐานะ ขณะที่ย่านชานเมืองเป็นถิ่นที่อยู่ของคนจนและคนที่ถูกกีดกันซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของผู้อพยพ
พวกเขาเหล่านี้ถูกกดขี่มานานเกือบศตวรรษ และแม้ในยุคปัจจุบันพวกเขาก็ยังคงถูกเลือกปฏิบัติอยู่ จนเป็นที่มาของความขุ่นแค้นคับข้องใจ กลายเป็นมันเป็นสงคราม 2 ขั้วระหว่าง "ผู้อพยพรุ่นที่สอง กลุ่มประชนชนผู้ด้อยโอกาส" กับ "เจ้าหน้าที่รัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีซาร์โกซี" ที่ต่างฝ่ายต่างก็แรงมาแรงไป ตาต่อตาฟันต่อฟัน
ในปี 2005 การตายของวัยรุ่นจากชุมชน 2 คนที่เสียชีวิตระหว่างการจับกุมของตำรวจ เป็นชนวนเหตุของการจลาจลครั้งใหญ่บนท้องถนนในบองลีเยอ เมืองลุกเป็นไฟ รถเกือบหมื่นคันถูกเผาพังพินาศ และในปี 2007 ได้เกิดการจลาจลใหญ่อีกครั้ง สถานที่ราชการต่างๆ ถูกวางเพลิง และมีตำรวจได้รับบาดเจ็บกว่า 130 นาย
มีผู้แสดงความคิดเห็นใต้คลิปนี้เกือบ 200 ความเห็น อาทิ ผู้ใช้ชื่อ JJ800M บอกว่า “แค่เพราะว่าคุณไปปารีสในฐานะนักท่องเที่ยวและมีช่วงเวลาที่ดีไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญหาอาชญากรรมร้ายแรงเกิดขึ้น ผมเคยไปที่นั่นมา 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งเคยถูกกรีดแจ็กเกตเพื่อขโมยกระเป๋าสตางค์ตอนอยู่ในมหาวิหารนอเทรอดาม”
BobboBJJ บอกว่า “ผมไปปารีส 2 สัปดาห์ แต่ผมไม่เจอปัญหา สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นคือพวกกลุ่มวัยรุ่นพยายามก่อกวนผู้หญิงที่มากับเรา แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
Photo by Sameer Al-DOUMY / AFP