รู้จัก “Frogmore Cottage” ตำหนักที่กบเป็นใหญ่กับความพิเศษในประวัติศาสตร์
ใครจะรู้บ้างว่า”ฟร็อกมอร์ คอทเทจ”ที่จะกำลังกลายเป็นอดีตตำหนักของเจ้าชายแฮร์รี่และเมแกนในอังกฤษจะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานชวนเล่าสู่กันฟังอย่างกับนิยายเล่มโต วันนี้ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ หลังหนังสือ Spare ออกมาเขย่าราชวงศ์อังกฤษ
สำนักข่าวบีบีซีเคยรายงานถึง Frogmore Cottage หรือ ฟร็อกมอร์ คอทเทจ สถานตากอากาศภายในเขตพระราชฐานของราชวังวินด์เซอร์ ว่าหากเจ้าชายแฮร์รี่-เมแกน ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์กำลังมองหาบ้านหรือตำหนักที่ซ่อนตัวจากสายตาของสาธารณชน Frogmore Cottage ก็คือสถานที่ที่เหมาะสม แต่เวลานี้ “คอทเทจที่มีกบเป็นใหญ่” ไม่น่าจะใช่ที่ของทั้งสองคนอีกแล้ว
หากจะเรียกว่านึ่คือการเอาคืนอย่างเจ็บแสบจากราชวงศ์ก็ว่าได้ เพราะไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เมื่อหนังสือ Spare หรือ ตัวสำรอง (ที่ต้องมีถึง 4 เล่ม) ได้ค่าแฉไปแล้วแบบหนักๆ จุกๆ ถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ต้องมีค่าสนองคืนบ้างเป็นธรรมดา
ทั้งสองพระองค์ออกมายอมรับแล้วเมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า ได้รับการขอร้องให้ออกจากตำหนักฟร็อกมอร์ คอทเทจจริงหลังจาก The Sun สื่อหัวสียักษ์ใหญ่ในอังกฤษ รายงานก่อนหน้านี้เพียง 1 วันโดยอ้างแหล่งข่าวในสำนักพระราชวังบักกิงแฮม เปิดเผยว่า สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งอังกฤษ พระราชบิดาของเจ้าชายแฮร์รี่ กำลังขับไล่เจ้าชายแฮร์รี่และเมแกน พ้นจากพระตำหนักฟร็อกมอร์ คอทเทจ ว่ากันว่า ‘โนติส’ สั่งให้ย้ายออกออกมาใน 24 ชั่วโมง หลังหนังสือแฉแหลก Spare ของเจ้าชายแฮร์รี่วางแผงเมื่อวันที่ 10 มกราคม ก็มีคำสั่งออกมาในวันที่ 11 มกราคมแบบติดๆ
โดยทางโฆษกของเจ้าชายแฮร์รี่และเมแกนได้ออกมายืนยันข่าวดังกล่าวแล้วและบอกว่า มีคำขอร้องให้เจ้าชายแฮร์รี่และเมแกน ย้ายออกจากตำหนักฟร็อกมอร์ คอทเทจจริง
สื่ออังกฤษรายงานข่าวนี้ครึกโครมและยังเปิดเผยว่า สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงเลือกที่จะขับไล่เจ้าชายแฮร์รี่และสะใภ้เมแกน ซึ่งขณะนี้อยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ออกจากพระตำหนักฟร็อกมอร์ คอทเทจ และจะทรงให้เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก พระอนุชาของพระองค์ย้ายมาประทับที่ตำหนักฟร็อกมอร์ คอทเทจแทน โดยให้ออกจากตำหนักหรู Royal Lodge ขนาด 30 ห้องนอนพร้อมสระว่ายน้ำ บนเนื้อที่ 98 เอเคอร์ที่เป็นภาระให้วินด์เซอร์ต้องออกค่าใช้จ่ายให้
โดยก่อนหน้านี้ เจ้าชายแอนดรูว์ พระอนุชาของกษัตริย์ ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งราชวงศ์ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับเจฟฟรีย์ เอพสเตน ผู้ต้องหาคดีล่วงละเมิดทางเพศของสหรัฐฯ หนังสือพิมพ์รายงานว่าแอนดรูว์ต้องการอยู่ในตำหนัก Royal Lodge ต่อและกำลังต่อต้านการย้ายมาประทับที่ Frogmore Cottage
แต่น้อยคนจะรู้ว่าพระตำหนักฟร็อกมอร์ ไม่ใช่แค่คอทเทจ 10 ห้องนอนธรรมดาๆ แต่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเคยรับรองแขกหรือบุคคลสำคัญมาแล้วมากมายภายในเขตพระราชฐานของพระราชวังวินด์เซอร์
นับตั้งแต่แรกเริ่มตำหนักฟร็อกมอร์แห่งนี้สร้างขึ้นโดยตั้งใจให้เป็นที่หลบมุมอันเงียบสงบจากแรงกดดันของชีวิตราชวงศ์ โดยมีประวัติผู้ครอบครองน้อยมาก มีบันทึกไว้ว่า สมเด็จพระราชินีชาร์ลอตต์ มเหสีของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ทรงสร้างบ้านพักตากอากาศ หรือ คอทเทจนามว่า "ฟร็อกมอร์" ขึ้นในปี พ.ศ. 2335 เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับพระนางและพระธิดาไว้หลบลี้หนีจากราชสำนักในเวลานั้น คล้ายๆ กับที่คนร่ำรวยนิยมสร้างบ้านพักตากอากาศไว้ในแถบถิ่นชนบทอันงดงาม
ว่ากันว่า เหตุผลมิใช่เพียงแค่นั้น เพราะสมเด็จพระราชินีชาร์ลอตต์ยังทรงต้องการสถานที่สำหรับให้พระธิดาของพระองค์ "หนีภัยจากความบ้าคลั่งของกษัตย์จอร์จ" (หมายถึงพระเจ้าจอร์จที่ 3 ซึ่งครองราชย์นานเกือบ 60 ปี แต่ได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการป่วยทางจิต) ตามที่นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ ดร.เฮเลน แรปพาพอร์ตกล่าว “มันเป็นเหมือนกับสถานที่พักผ่อนหย่อนใจขนาดใหญ่ในเขตพระราชวังวินด์เซอร์ที่เธอสามารถหลบออกไปผ่อนคลายจากภารกิจได้”
Frogmore เป็นชื่ออสังหาริมทรัพย์ภายใน Home Park หรือ Litle Park ซึ่งอยู่ติดกับพระราชวังวินเซอร์ ประกอบด้วยพื้นที่ 33 เอเคอร์ (130,000 ตร.ม.) ส่วนชื่อ Frogmore นั้นก็มาจากคำว่า "กบเป็นใหญ่” เป็นเพราะในบริเวณนั้นมีกบอาศัยอยู่มาก ด้วยเป็นบริเวณพื้นที่ลุ่มและหนองน้ำใกล้กับแม่น้ำเทมส์ เดิมพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ราบน้ำท่วมถึงในแถบถิ่นนั้นมาก่อน
ส่วน Frogmore House หรือตัวตำหนักฟร็อกมอร์ในเวลาต่อมาสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1680 ต่อมาในปี พ.ศ. 2335 พระเจ้าจอร์จที่ 3 ได้ซื้อบ้านและที่ดินในบริเวณนี้ให้กับพระราชินีชาร์ลอตต์พระมเหสีของพระองค์ แม้ว่าที่ดินดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์วินด์เซอร์มาตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8
พระนางชาร์ลอตต์ได้ว่าจ้างเจมส์ ไวแอตต์ให้ออกแบบบ้านใหม่และขอคำแนะนำจากรองแชมเบอร์เลน วิลเลียม ไพรซ์ เกี่ยวกับการพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2383 ดัชเชสแห่งเคนท์ได้รับฟร็อกมอร์เป็นมรดก หลังจากสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2404 ที่ดินฟร็อกมอร์และตำหนักก็ตกเป็นของพระราชธิดาคือพระราชินีวิกตอเรีย และกลายเป็นสถานที่โปรดปราน และเป็นเหมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในเวลาต่อมา เมื่อบริเวณหนึ่งในสวนของที่ดินได้กลายเป็นที่ฝังพระศพพระมารดา (ดัชเชสแห่งเคนท์) ในสุสานที่มองเห็นทะเลสาบ และยังเป็นสุสานหลวงสำหรับพระสวามี เจ้าชายอัลเบิร์ตและของพระองค์เองในเวลาต่อมา
แน่นอนว่า สภาพแวดล้อมโดยรอบคอทเทจเป็นที่ถูกตาต้องใจของเจ้าชายแฮร์รี่และเมแกน และภาพงานหมั้นของพวกเขาถูกถ่ายในบริเวณ Frogmore House ซึ่งเป็นบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่า ส่วนงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสในตอนเย็นก็จัดขึ้นที่นั่นด้วย
คอทเทจหลังนี้ได้รับการขึ้นทะเบียน Grade-II มีห้องนอน 10 ห้อง ก่อนที่เจ้าชายและเมแกนจะย้ายเข้ามา มันถูกใช้เป็นที่พักสำหรับเจ้าหน้าที่ในวังมาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนจะมีการปรับปรุงตัวบ้านที่ใช้เวลาหลายเดือน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่ทันสมัยและคาดไม่ถึง นอกเหนือจากการรีโนเวททั่วไปเพื่อเปลี่ยนเป็นที่พักขนาด 5 ห้องนอน และเพิ่มสวนส้มอีก 2 แห่งในบ้านแล้ว ทั้งคู่ยังได้เพิ่มแปลงผักและสตูดิโอโยคะเข้าไปด้วย เพราะเมแกนเป็นแฟนตัวยงของการเล่นโยคะ และดอเรีย แร็กแลนด์ แม่ของเธอก็เป็นครูสอนโยคะในลอสแองเจลิส
แหล่งข่าวของราชวงศ์บอกกับเดลีเมล์ว่า 'ดัชเชสมีความหลงใหลในการทำอาหาร จึงได้รับคำแนะนำให้ทำแปลงผักเล็ก ๆ ไว้ในสวนอันกว้างขวาง ซึ่งพวกเขาสามารถปลูกพืชผลของตนเองได้' มีการติดตั้งฉนวนกันเสียงเพื่อจัดการกับเสียงรบกวนจากเครื่องบินที่ขึ้น-ลงจากสนามบินฮีทโธรว์ ซึ่งมีรายงานว่ามีค่าใช้จ่ายถึง 50,000 ปอนด์ แต่เมแกนและแฮร์รี่เป็นคนออกค่าใช้จ่ายเอง
มีรายงานอีกว่า ทั้งคู่ใช้นักออกแบบวิกกี้ ลาร์ลส์จาก Charles & Co design studio ที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบ Soho Farmhouse ให้มาออกแบบตกแต่งภายในบ้าน ส่วนวิกกี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นสำหรับลูกค้าที่มีชื่อเสียงเพราะเธอเคยทำงานออกแบบให้กับ จอร์จ คลูนีย์ เดวิด เบ็กแฮม และ The Ned
บุคคลสำคัญที่เคยอาศัยอยู่ฟร็อกมอร์
อับดุล การิม (Abdul Karim) มุสลิมชาวอินเดีย เดินทางมาถึงอังกฤษในปี 2430 เพื่อเป็นตัวแทนของอินเดียในช่วงพิธีเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษกฉลองสิริราชสมบัติครองราชย์ครบ 50 ปี ของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ตอนนั้นอับดุลอายุ 24 ปีแต่ก็ได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวง เพราะภายในปีเดียวก็กลายเป็นบุคคลสำคัญในราชสำนัก เมื่อพระราชินีตั้งให้เขาเป็นถึงมุนชี่หรือพระอาจารย์ของจักรพรรดินี เพื่อสั่งสอนพระนางในเรื่องภาษาอูรดูและอินเดีย ยิ่งไปกว่านั้นยังมอบเกียรติยศ ตำแหน่ง และของขวัญให้กับเขาอย่างฟุ่มเฟือย หนึ่งในนั้นคือการใช้ฟร็อกมอร์ คอทเทจให้เป็นที่พำนัก และพระนางก็เยี่ยมเขาที่คอทเทจ "ทุก ๆ วัน" และ "ไม่เคยพลาดบทเรียน" จากการิมตามที่นักเขียนชราบานี บาซู ผู้ค้นพบสมุดบันทึกประจำวันที่มีรายละเอียดความสัมพันธ์ใกล้ชิดของการิมกับควีนวิกตอเรีย
บาซูเล่าว่า ควีนวิกตอเรียพัฒนาความสัมพันธ์ระดับแม่ลูกกับคาริม และจะเซ็นจดหมายถึงเขาในฐานะ "แม่ที่รักของคุณ" (your loving mother) "เพื่อนสนิทของคุณ" (your closest friend) และ “เพื่อนแท้ของคุณ” (your true friend)
พระองค์ยังเชิญครอบครัวของอับดุลมาอังกฤษ ช่วยให้พ่อของเขาได้เงินบำนาญ และให้ศิลปินวาดรูปของเขาติดไว้ในวังอีกด้วย
การิมจึงได้ปรับปรุงบ้านและอาศัยอยู่ที่ฟร็อกมอร์คอทเทจกับภรรยาตั้งแต่ปี 2436 อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างการิมกับพระราชินีทำให้ครอบครัวและข้าราชบริพารของเธอไม่พอใจ และการสิ้นพระชนม์ของเธอในปี 2444 ทำให้ชีวิตของเขาที่ฟร็อกมอร์ในสหราชอาณาจักรต้องจบลงอย่างกะทันหัน
นอกจากปัญหาชนชั้น คนรอบข้างซึ่งหมายถึงเชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพารในวังต่างพากันอิจฉาริษยาการิม เพราะอคติทางเชื้อชาติหรือการถือสีผิว เพราะพวกเขาในเวลานั้นยังถือว่าอินเดียเป็นชาติที่ป่าเถื่อน
และเมื่อพระนางเจ้าวิกตอเรียสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ.2454 เชื้อพระวงศ์ทั้งหลายจึงได้ช่วยกันลบชื่อเขาออกจากประวัติศาสตร์
ญาติสนิทจากราชวงศ์รัสเซีย
เมื่อซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัวถูกกลุ่มบอลเชวิคสังหารในปี 2461 ญาติที่รอดชีวิตในครอบครัวหนีไปอังกฤษในเรือรบที่ส่งมาจากญาติสนิทของพวกเขา นั่นก็เป็นเพราะว่าพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และกษัตริย์จอร์จที่ 5 (King George V) ของอังกฤษเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
แกรนด์ดัชเชสเซเนียอเล็กซานดรอฟนาจึงได้เดินทางหนีภัยมาถึงสหราชอาณาจักร แกรนด์ดัชเชสและลูก ๆ ของเธอได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระอยู่ระยะหนึ่ง แต่ในไม่ช้าเงินก็หมด ในปีพ.ศ. 2468 กษัตริย์จอร์จได้ดูแลพวกเขาโดยให้พำนักอยู่ที่ฟร็อกมอร์คอทเทจ พร้อมด้วยพระโอรสและเชื้อพระวงศ์อีกหลายคน และเมื่อมันแออัดเกินไป กษัตริย์ก็ได้สร้างโฮมพาร์คคอทเทจที่อยู่ใกล้เคียงกันให้อีกหลัง มาร์ลีน ไอเลอร์ส เคอนิก ผู้เชี่ยวชาญด้านราชวงศ์อังกฤษและยุโรป กล่าวว่า แกรนด์ดัชเชสทรง "เกือบสิ้นเนื้อประดาตัว" ตั้งแต่ตอนที่เธอย้ายเข้ามา
ความยากจนของราชวงศ์รัสเซียผู้ลี้ภัยทำให้กระท่อมทรุดโทรมลงในไม่ช้า ผู้อยู่อาศัยในบ้านที่สง่างามและเป็นที่โปรดปรานจำต้องมีรายจ่ายสำหรับการเปลี่ยนแปลงภายในทั้งหมด แต่สถานการณ์ทางการเงินที่ "เลวร้าย" ของแกรนด์ดัชเชส ทำให้เธอไม่มีกำลังพอที่จะดูแลรักษาบ้านได้
เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานในปี พ.ศ. 2472 พบว่ากระท่อมอยู่ในสภาพ "น่าสมเพช" ด้วยสภาพ “วอลเปเปอร์ฉีกขาด ผนัง เพดานสกปรก และปูนปลาสเตอร์หลุดออกจากผนัง” นางเคอนิกกล่าวเสริมว่า "บ้านหลังนี้ต้องการมากกว่าแค่ทาสี"
ดร.แรปพาพอร์ต กล่าวว่า คอทเทจหลังนี้ "ถูกละเลยอย่างมาก" และสว่างไสวได้ด้วย "ตะเกียงน้ำมันและเทียนไข" และยังไม่มีชักโครกสำหรับกดชักโครก กษัตริย์เป็นผู้จ่ายค่าตกแต่งใหม่ ซึ่งยังมอบเงินบำนาญปีละ 2,400 ปอนด์แก่ลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วย หลังจากการสวรรคตของกษัตริย์จอร์จที่ 5 ในปี พ.ศ. 2479 กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 8 พระราชโอรสได้ประทานตำหนักหลังใหม่ให้กับครอบครัวของเธอในบริเวณแฮมป์ตันคอร์ต และสมาชิกจากรัสเซียก็ได้ย้ายจากฟร็อกมอร์
นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 คอทเทจหลังนี้เชื่อกันว่า ถูกใช้เป็นบ้านของเจ้าหน้าที่ในราชวงศ์ แม้ว่าจะมีปริศนาบางอย่างที่ยังไม่รู้แจ้งซ่อนอยู่ก็ตาม บางทีนี่อาจช่วยอธิบายได้ว่าทำไมดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์จึงมองว่สที่นี่เป็น "สถานที่ที่พิเศษมาก" ของพวกเขา
แต่คำสั่งให้ย้ายออกจากตำหนักฟร็อกมอร์ คอทเทจนั้น หมายความว่า เจ้าชายแฮร์รี่และเมแกน ซึ่งขณะนี้ประทับที่สหรัฐอเมริกา จะไม่มีที่ประทับในสหราชอาณาจักรอีกต่อไป เนื่องจากพระตำหนักฟร็อกมอร์ คอทเทจ เป็นเพียงที่ประทับแห่งเดียวของทั้งสองในสหราชอาณาจักร หลังจากสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ได้ทรงประทานให้เป็นของขวัญแก่ทั้งคู่ ขณะพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพ
อ้างอิง:
https://www.royal.uk/houses-frogmore
https://www.bbc.com/news/uk-england-berkshire-46348857
เพจมารร้ายสายวัง