จีนได้ประโยชน์จากการแบนน้ำมันรัสเซียหลายพันล้านเหรียญ
หลังชาติตะวันตกประกาศคว่ำบาตรรัสเซีย อิหร่าน และเวเนซุเอลา ผลที่ตามมาอย่างไม่ได้ตั้งใจคือจีนสามารถลดต้นทุนการนำเข้าน้ำมันได้เกือบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ด้วยการซื้อน้ำมันจากประเทศที่ถูกคว่ำบาตร
เมื่อราคานำเข้าน้ำมันถูกลง จีนถือว่ากุมความได้เปรียบทั้งในด้านการเพิ่มปริมาณการผลิตและผลตอบแทน นอกจากนี้ เมื่อจีนซื้อน้ำมันจากรัสเซีย อิหร่าน และเวเนซุเอลา ยังเป็นการช่วยสร้างรายได้ให้กับทั้ง 3 ประเทศ หลังต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศถดถอย การลงทุนจากต่างชาติหดหายจากการถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตร
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2023 จีนนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน รัสเซีย และเวเนซุเอลาแล้วกว่า 2.765 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่การวิเคราะห์จากรอยเตอร์พบว่าการนำเข้าน้ำมันดิบจาก 3 ประเทศ คิดเป็น 1 ใน 4 ของการนำเข้าน้ำมันทั้งหมดของจีน (มกราคม-กันยายน)
โดยเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2020 ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ชดเชยการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง แอฟริกาตะวันตก และอเมริกาใต้
แม้จีนจะสามารถลดต้นทุนการนำเข้าน้ำมันไปได้เกือบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือโรงกลั่นอิสระได้รับโอกาสที่มากขึ้น รวมถึงยังได้รับสินค้าในราคาที่ถูกลง
ข้อมูลจาก Vortexa และ Kpler แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายน รัสเซียได้จัดส่งน้ำมันดิบทางทะเล 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่จีนยังนำเข้าน้ำมันดิบจาก ESPO ประมาณ 800,000 บาร์เรลต่อวันผ่านท่อส่งน้ำมัน
แต่หลังรัสเซียรุกรานยูเครนจนถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ปริมาณการขนส่งน้ำมันดิบของรัสเซียกลับเพิ่มขึ้นมากกว่า 400,000 บาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการเปลี่ยนกระแสส่งออกน้ำมันจากยุโรปไปยังอินเดียและจีน
จีน ประหยัดเงินไปได้กว่า 4.34 พันล้านดอลลาร์ จากการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย ขณะที่การนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลาซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเกรดหนัก ช่วยให้จีนลดต้นทุนลงไปได้ราว 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านช่วยลดต้นทุนให้จีนลงได้ราว 15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล