บราซิลแล้งหนัก แม่น้ำอเมซอนแห้งเป็นประวัติการณ์
ป่าฝนอเมซอนเผชิญกับภัยแล้งเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบต่อประชาชนเกือบ 5 แสนราย ขณะที่แม่น้ำอเมซอนแห้งเหือดแตะระดับต่ำสุดในรอบศตวรรษ จนระบบนิเวศป่าไม้เสียหาย
ระดับน้ำในแม่น้ำอเมซอนลดแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี จนเรือไม่สามารถแล่นได้ ส่งผลให้ชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านห่างไกลขาดแคลนน้ำและอาหาร เนื่องจากการขนส่งทางน้ำถือเป็นเส้นทางคมนาคมหลัก ขณะเดียวกันอุณหภูมิในแม่น้ำยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนอาจส่งผลให้โลมาสายพันธุ์หายากกว่า 100 ตัวต้องตาย
Nelson Mendonca ผู้นำชุมชนใน Santa Helena do Ingles กล่าวว่าชุมชนบางแห่ง เรือแคนูยังสามารถเข้าถึงได้ แต่เรือส่วนใหญ่ไม่สามารถขนเสบียงไปตามแม่น้ำได้ ดังนั้นเสบียงส่วนใหญ่จึงถูกขนส่งมาโดยรถแทรกเตอร์หรือไม่ก็ต้องอาศัยการเดินเท้า
ขณะเดียวกัน หนึ่งในชาวบ้านที่อาศัยใน Santa Helena do Ingles ให้ความเห็นว่า ระดับน้ำที่แห้งเหือดของอเมซอนทำให้เกิดความกังวลว่าน้ำที่ต้องใช้ในการอุปโภค บริโภค จะไม่สะอาดพอ ซึ่งในปัจจุบันเด็กๆในหมู่บ้านต้องเผชิญกับโรคท้องร่วง อาเจียน และมีไข้สูง จากน้ำที่ไม่สะอาด
ท่าเรือมาเนาส์ หนึ่งในเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในภูมิภาค และเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำริโอ เนโกร และแม่น้ำอเมซอน เมื่อวัดระดับน้ำช่วงวันจันทร์ ระดับน้ำอยู่ที่ 13.59 เมตร ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ระดับน้ำอยู่ที่ 17.60 เมตร โดยระดับแม่น้ำอเมซอนในตอนนี้ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มบันทึกในปี 1902 นอกจากนี้ภัยแล้งยังส่งผลกระทบต่อประชาชนแล้วกว่า 481,000 ราย
ทางด้าน Pedro Mendonca ชาวบ้านที่อาศัยในป่าฝนอเมซอน ให้ความเห็นว่า หลังจากฝนไม่ตกเป็นเวลาหลายเดือน ตอนนี้องค์กร NGO ของบราซิลได้ส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปยังชุมชนแล้ว
“ชุมชนของเราใช้ชีวิตแบบไร้ฝนมากว่า 3 เดือนแล้ว แถมอากาศก็ร้อนกว่าปกติ ระดับความแห้งแล้งเลวร้ายกว่าที่เคยผ่านมามาก”
ตามข้อมูลของศูนย์แจ้งเตือนภัยพิบัติของรัฐบาลบราซิล พื้นที่บางส่วนของอเมซอนมีปริมาณฝนน้อยที่สุดในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนนับตั้งแต่ปี 1980
กระทรวงวิทยาศาสตร์ของบราซิลระบุว่า ภัยแล้งในปีนี้เป็นผลพวงจากปรากฏการณ์เอลนิโญ ซึ่งส่งผลทำให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลก อย่างไรก็ตาม คาดว่าภัยแล้งจะอยู่ไปจนถึงเดือนธันวาคมเป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นช่วงที่ผลกระทบของเอลนิโญแตะจุดสูงสุด