การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้น้ำท่วม ไฟไหม้ป่า และความแห้งแล้งทั่วโลก

ภัยแล้งในเอกวาดอร์ ไฟป่าในโปรตุเกส เปรู และสหรัฐอเมริกาตะวันตก น้ำท่วมอย่างรุนแรงที่ท่วมยุโรปกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกาตะวันตก เป็นข่าวที่เกิดขึ้นในสื่อต่างๆทั่วโลกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไต้ฝุ่นยางิ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่า 500 ราย ทั้งในพม่า เวียดนาม และไทย จากน้ำท่วมและดินถล่ม ขณะที่ยังมีรายงานผู้สูญหายอีกจำนวนมาก

ด้านยุโรปกลางก็ต้องรับมือกับฝนตกหนักและน้ำท่วมอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 รายในโรมาเนีย และ 1 รายในออสเตรียและโปแลนด์ ในสาธารณรัฐเช็ก มีผู้ถูกน้ำพัดหายไป 4 รายและสูญหาย  โดยกระแสน้ำจากแม่น้ำดานูบ จ่อเข้าท่วม โครเอเชีย ฮังการี และสโลวาเกียต่อไป

ในเวลาเดียวกัน พายุหิมะที่พัดเข้ามาอย่างผิดปกติพัดถล่มพื้นที่ชายฝั่งของแอฟริกาใต้เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และส่งผลให้ทางหลวงสายหลักบางสายของประเทศต้องปิด ขณะที่หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักจากพายุลูกนี้ และเจ้าหน้าที่เตือนว่าบางพื้นที่อาจเกิดน้ำท่วมในขณะที่หิมะเริ่มละลาย พืชผลของชาวนาจำนวนมากถูกฝังอยู่ใต้หิมะเป็นเวลาสองวัน

ขณะที่นักผจญเพลิงในภาคเหนือของโปรตุเกส กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อควบคุมไฟป่านับ 100 จุดที่เกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนและแห้ง ไฟป่าที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนต้องหนีออกจากบ้านเรือน และมีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 ราย รวมถึงนักดับเพลิง 4 รายด้วย

ในเปรู ไฟป่าทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 15 รายนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม โดยยังมีไฟป่าเกิดขึ้นในหลายภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานป่าไม้และสัตว์ป่าแห่งชาติของเปรู SERFOR กล่าวว่าผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้สภาวะต่างๆ ทวีความรุนแรงขึ้น

ส่วนความแห้งแล้งในบราซิลส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำปารากวัยลดลงต่ำสุดในรอบกว่าศตวรรษ ส่งผลกระทบต่อการค้าทางน้ำสายหลัก และสร้างอันตรายต่อการขนส่งในท้องถิ่น เจ้าหน้าที่กล่าวว่าระดับน้ำในแม่น้ำลดลง 89 เซนติเมตร ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 120 ปี ขณะที่ภัยแล้งรุนแรง ทำให้ทางการเอกวาดอร์ประกาศงดจ่ายไฟฟ้าถึงวันละ 12 ชั่วโมงในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ เนื่องจากภัยแล้งรุนแรงเป็นประวัติการณ์ทำให้น้ำในเขื่อนไม่เพียงพอ

และข่าวที่น่าสลดใจที่สุดข่าวหนึ่ง คือ ซิมบับเวและนามิเบียต้องประกาศแผนการฆ่าช้างป่าหลายร้อยตัวและสัตว์อื่นๆ เพื่อนำเนื้อไปแจกบรรเทาความหิวโหยในชุมชนที่ขาดแคลน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น กำลังทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยจะส่งผลต่อประชากรผู้มีรายได้น้อยในประเทศยากจนอย่างรุนแรงมากกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว ตัวอย่างที่ชัดเจนมาจากรายงานใหม่โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ได้เปิดเผยสถิติที่น่าตกใจเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแอฟริกา ซึ่งมีประชากรประมาณ 1.3 พันล้านคน ได้สูญเสียผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ร้อยละ 2-5 จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจุบันแอฟริกาสูญเสียเงินจำนวน 7-15 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ตัวเลขนี้อาจเพิ่มขึ้นเป็น 50 พันล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2573 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 7 ของ GDP โดยเฉลี่ยของแอฟริกา

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อแอฟริกาไม่เพียงแต่ตัวเลขทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมนุษย์ด้วย WMO ประมาณการว่าผู้คนมากกว่า 110 ล้านคนได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศในแอฟริกาในปี 2565 อัตราเงินเฟ้อด้านอาหารพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบสามทศวรรษ โดยเฉลี่ยร้อยละ 30 ขณะที่ผู้คนในแอฟริกาประมาณ 282 ล้านคนหรือประมาณร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ต้องเผชิญกับภาวะขาดสารอาหารและความไม่มั่นคงทางอาหาร ผลผลิตทางการเกษตรได้รับผลกระทบทางลบจากภัยแล้งและน้ำท่วม ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารเพิ่มมากขึ้น  

ประเด็นดังกล่าว ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาได้ร้องขอต่อสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ให้ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจริงจังมากขึ้น เพื่อช่วยรับมือกับความยากลำบากที่พวกเขากำลังเผชิญจากสภาพอากาศสุดขั้ว บรรดาผู้นำรัฐหมู่เกาะเล็กๆ ที่มีความเสี่ยงจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นมากที่สุด กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศที่เผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลส่วนใหญ่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น จะต้องหยุด "สัญญาปากเปล่า" ในขณะที่การหาเงินสมทบกองทุนด้านสภาพอากาศยังไม่มีความคืบหน้า