เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเหลืออีก 2 วัน โพลชี้แฮร์ริสนำทรัมป์แบบฉิวเฉียด
เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง ผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ยังคงเห็นถการแข่งขันที่คู่คี่ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และคามาลา แฮร์ริส
ผลสำรวจระดับประเทศให้ภาพรวมของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ แฮร์ริสนำทรัมป์หนึ่งคะแนน ในผลสำรวจใหม่ของวอชิงตันโพสต์ จากผู้มีแนวโน้มจะไปลงคะแนนและผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนแล้วในเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรัฐสมรภูมิ แฮร์ริสได้ 48% จากทั้งผู้มีแนวโน้มจะไปลงคะแนนและผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนแล้ว ในขณะที่ทรัมป์ได้ 47% ซึ่งถือว่าเสมอกันในทางสถิติ โดยมีความคลาดเคลื่อน ±3.1 เปอร์เซ็นต์ ในการสำรวจที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์
การสำรวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนแล้ว 1,204 คน ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 26-30 ตุลาคม ได้ให้ผู้ตอบแบบสำรวจมีตัวเลือกผู้สมัครจากพรรคที่สามด้วย
ตามที่วอชิงตันโพสต์ระบุ ผลสำรวจใหม่นี้ยังพบว่ามีความกระตือรือร้นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในระดับสูงจากทั้งสองพรรค ซึ่งมีความสำคัญต่อเส้นทางสู่ชัยชนะของผู้สมัครแต่ละคน ร้อยละ 20 ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพวกเขาได้ลงคะแนนแล้ว ในขณะที่อีกร้อยละ 73 ระบุว่าพวกเขาแน่ใจว่าจะไปลงคะแนน "รวมเป็นร้อยละ 94 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หลังจากปัดเศษ"
ขณะเดียวกัน ในการสำรวจระดับชาติ คะแนนนำของคามาลา แฮร์ริส ที่ยังคงนำโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มลดลงในช่วงสุดท้ายของการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยพรรคเดโมแครตนำหน้าพรรครีพับลิกันเพียงเปอร์เซ็นต์เดียว หรือ 44% ต่อ 43% ตามการสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร ซึ่งการสำรวจนี้มีค่าความคลาดเคลื่นที่ 3% เช่นกัน
ทั้งนี้ จากนโยบายในการบริหารประเทศที่แตกต่างกันค่อนข้างชัดเจนของผู้สมัครทั้งคู่ โดยเฉพาะในประเด็นด้านนโยบายภาษี นโยบายด้านการค้าและภาษี นโยบายความสัมพันธ์จีน และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลการเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นผู้ใดย่อมจะส่งผลต่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศของไทย โดยเฉพาะด้านการส่งออกที่สหรัฐฯ ถือเป็นประเทศคู่ค้าที่นำเข้าจากไทยมากที่สุด โดยในระหว่างเดือนมกราคม – กันยายน 2567 สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นมูลค่าสูงถึง 4.06 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก กระทรวงพาณิชย์ ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและการค้าของไทย ไว้ดังนี้
หาก คามาลา แฮรริสเป็นผู้ได้รับชัยชนะ ทิศทางด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศระหว่างไทยและสหรัฐฯ น่าจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก สหรัฐฯ จะยังคงมีนโยบายเรียกเก็บภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากจีนหลายรายการ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการไทยเพิ่มความสามารถในการเข่งขัน รวมถึงโอกาสในการขยายการส่งออกสินค้าชิ้นส่วนรถยนต์และยางรถยนต์เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต จากปัจจัยด้านอัตราภาษีที่ปรับตัวลดลง รวมถึงปัจจัยด้านนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล อีกทั้ง ยังน่าจะเป็นโอกาสสำหรับกลุ่มสินค้าและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น สินค้ากลุ่มแผงผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ได้กลับมาดำเนินมาตรการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การหลีกเลี่ยงภาษีทุ่มตลาด (Anti-Circumvention Duty) และนโยบายการปรับเพิ่มภาษีธุรกิจ อาจจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความต้องการบริโภคในระยะยาวได้
หาก โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับชัยชนะ แม้ว่านโยบายการตอบโต้ทางการค้าจีนจะเข้มข้นมากขึ้น แต่ไทยซึ่งมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเกินดุลสหรัฐฯ สูง ก็อาจจะเป็นเป้าหมายในการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ ได้ รวมถึงไทยเคยถูกระงับสิทธิ์ GSP สินค้าไทยทั้งสิ้น 573 รายการในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากนี้ นโยบายการไม่สนันสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและการรักษาสิ่งแวดล้อมยังอาจจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกสินค้ากลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไทย อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการตอบโต้การค้าจีนที่รุนแรงอาจจะส่งผลทำให้ราคาสินค้าและบริการในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง และอาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ซึ่งอาจจะลุกลามไปถึงขั้นก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในอนาคต