posttoday

ดัชนีเผย ‘ไทย’ เสี่ยงอันดับ 2 ของโลก กระทบจากการดำเนินนโยบายของ ‘ทรัมป์’

13 ธันวาคม 2567

‘ดัชนีความเสี่ยงทรัมป์’ เผย ไทยเสี่ยงรับผลกระทบมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองเพียงเม็กซิโก จากนโยบาย ‘อเมริกามาก่อน’ ของ ’ทรัมป์‘

มูลนิธินวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITIF) ซึ่งเป็นหน่วยงานคลังสมองในสหรัฐ เปิดเผยรายงาน "ดัชนีความเสี่ยงทรัมป์" (Trump Risk Index) ซึ่งเป็นการประเมินความเสี่ยงในแต่ละด้านของ 39 ประเทศและดินแดนทั่วโลกที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐ หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่ง 

รายงานเปิดเผยว่า 'ประเทศไทย' มีภาพรวมความเสี่ยงมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากเม็กซิโก และยังเป็นชาติเดียวในเอเชียที่ติดกลุ่ม 10 อันดับแรก โดยเฉพาะความเสี่ยงในเรื่อง 'การค้า' และ 'การใช้จ่ายทางกลาโหม' 

ภายใต้หลักการ "อเมริกามาก่อน" หรือ “America First” ของทรัมป์ได้มุ่งเป้าไปที่ประเทศต่างๆ ที่ถูกมองว่าเกาะกระแสการลงทุนของสหรัฐ โดยใช้ประโยชน์จากความเปิดกว้างของตลาดสหรัฐเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจของตนเอง หรือประเทศที่ร่วมมือกับ "จีน" เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แทนที่จะยืนหยัดเคียงข้างสหรัฐอย่างมั่นคง

จากการประเมินพบว่า 5 ประเทศแรกที่มีความเสี่ยงสูงสุด คือ เม็กซิโก ไทย สโลวีเนีย ออสเตรีย และแคนาดา โดยกลุ่มท็อป 5 นี้มีความเหมือนกันอยู่ 2 ด้านหลักๆ คือ มีสัดส่วนการใช้งบประมาณกลาโหมต่อจีดีพีต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ

โดยเฉพาะเม็กซิโกกับไทยนั้น เกินดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในการจัดอันดับ และทั้งห้าประเทศนี้ยังหลีกเลี่ยงที่จะเข้าข้างสหรัฐอย่างเต็มตัวในการต้านทานอิทธิพลทางทหาร การทูต และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีจากจีน

 

ดัชนีเผย ‘ไทย’ เสี่ยงอันดับ 2 ของโลก กระทบจากการดำเนินนโยบายของ ‘ทรัมป์’

 

สำหรับ "ประเทศไทย" นั้น มีคะแนนความเสี่ยงในหมวดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุด โดยได้คะแนนติดลบไปที่ -1.89 รองลงมาคือ การใช้จ่ายด้านกลาโหมต่อจีดีพี ได้คะแนนไป -1.14 ตามมาด้วยมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อสหรัฐ 0.47 และท่าทีการต่อต้านจีน 0.48 ทำให้มีคะแนนรวมติดลบอยู่ที่ -3.98 เป็นรองเพียงแค่เม็กซิโกเท่านั้น 

ไทยยังเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียที่ติดกลุ่มท็อป 10 ความเสี่ยงสูงที่สุดใน ยุคทรัมป์ 2.0 โดยประเทศ/ดินแดนพันธมิตรอื่นๆ ในเอเชียที่ติดอันดับความเสี่ยงตามมาคือ ฟิลิปปินส์อยู่ในอันดับที่ 17, ญี่ปุ่น 25, เกาหลีใต้ 22 และไต้หวัน 31