ยูเครนไม่ต่อสัญญาท่อส่งก๊าซรัสเซีย ยุโรปยันไม่กระทบต้นทุนพลังงาน

ก๊าซยังคงไหลต่อไปแม้จะผ่านสงครามมาเกือบ 3 ปี แต่บริษัทก๊าซของรัสเซีย Gazprom ระบุว่าได้หยุดลงเมื่อเวลา 05.00 น. ตามเวลามาตรฐานสากล (GMT) หรือ 12.00 น. ของวันที่ 1 มกราคมตามเวลาในประเทศไทย หลังจากที่ยูเครนปฏิเสธที่จะต่ออายุข้อตกลงการขนส่งก๊าซผ่านท่อ

 

อย่างไรก็ตาม การยุติข้อตกลงที่คาดการณ์ไว้ก่อนครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาของผู้บริโภคในสหภาพยุโรป ไม่เหมือนในปี 2022 ที่อุปทานที่ลดลงจากรัสเซียส่งผลให้ราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้วิกฤตค่าครองชีพแย่ลง และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของกลุ่ม

 

ผู้ซื้อก๊าซรัสเซียจากสหภาพยุโรปรายสุดท้ายที่เหลือผ่านทางยูเครน เช่น สโลวาเกียและออสเตรีย ได้จัดเตรียมการจัดหาก๊าซทางเลือก จากสหนัฐ และนอร์เวย์ ในขณะที่ฮังการีจะยังคงรับก๊าซรัสเซียผ่านทางท่อส่ง TurkStream ใต้ทะเลดำ

 

แต่ทรานส์ดนีสเตรีย ซึ่งเป็นดินแดนที่แบ่งแยกในมอลโดวา เพื่อนบ้านของยูเครน ซึ่งพึ่งพาท่อส่งก๊าซนี้ ต้องตัดระบบทำความร้อนและน้ำร้อนให้กับครัวเรือนต่างๆ ในช่วงเช้าของวันพุธ บริษัทพลังงานท้องถิ่น Tirasteploenergo เรียกร้องให้ประชาชนแต่งกายให้อบอุ่น แขวนผ้าห่มหรือผ้าม่านหนาๆ ไว้เหนือหน้าต่างและประตูระเบียง และใช้เครื่องทำความร้อนไฟฟ้า

 

 

ขณะที่ คณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่าสหภาพยุโรปได้เตรียมการสำหรับการตัดการขนส่งก๊าซแล้ว

 

“โครงสร้างพื้นฐานก๊าซของยุโรปมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะจัดหาก๊าซที่ไม่ใช่แหล่งกำเนิดของรัสเซีย” โฆษกของคณะกรรมาธิการกล่าว "ได้รับการเสริมกำลังด้วยความสามารถในการนำเข้า LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ใหม่ที่สำคัญมาตั้งแต่ปี 2565"

 

รัสเซียและอดีตสหภาพโซเวียตใช้เวลาครึ่งศตวรรษในการสร้างส่วนแบ่งหลักของตลาดก๊าซในยุโรป ซึ่ง ณ จุดสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 35% แต่สหภาพยุโรปได้ลดการพึ่งพาพลังงานของรัสเซียนับตั้งแต่เริ่มสงครามในยูเครนด้วยการซื้อก๊าซธรรมชาติทางท่อจากนอร์เวย์และ LNG จากกาตาร์และสหรัฐอเมริกา

 

ขณะที่ ยูเครนจะสูญเสียค่าธรรมเนียมการขนส่งจากรัสเซียมากถึง 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อช่วยชดเชยผลกระทบดังกล่าว รัฐบาลจะเพิ่มอัตราภาษีส่งก๊าซสำหรับผู้บริโภคในประเทศเป็นสี่เท่าตั้งแต่วันพุธเป็นต้นไป ซึ่งอาจทำให้อุตสาหกรรมของประเทศต้องสูญเสียเงินมากกว่า 1.6 พันล้านฮรีฟเนีย (38.2 ล้านดอลลาร์) ต่อปี

 

ส่วน Gazprom จะสูญเสียยอดขายก๊าซเกือบ 5 พันล้านดอลลาร์