Meta กลับลำยกเลิกระบบตรวจสอบข้อเท็จจริงในสหรัฐ ก่อนทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง
Meta ยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียกลับลำ เลิกนโยบายตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาในแพลตฟอร์ม ก่อนโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งเพียงไม่กี่วัน หลังขัดแย้งกันมานานเรื่องการปิดกั้นเนื้อหา ถึงขนาดข่มขู่จะจับซัคเคอร์เบิร์กเข้าคุก
บริษัท Meta Platforms ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ชั้นนำของโลก ได้ประกาศยุติการดำเนินการโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงในสหรัฐ พร้อมทั้งผ่อนปรนข้อจำกัดในการอภิปรายประเด็นที่มีความอ่อนไหว เช่น การอพยพย้ายถิ่นฐานและอัตลักษณ์ทางเพศ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง
ความสัมพันธ์ระหว่าง ทรัมป์และซัคเคอร์เบิร์กเคยตึงเครียดอย่างมากในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์จลาจลที่รัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม ซึ่งนำไปสู่การระงับบัญชีของนายทรัมป์บน Facebook และ Instagram ทรัมป์เคยออกมาขู่ว่าจะดำเนินการทางกฎหมายกับ Meta และซัคเคอร์เบิร์ก รวมถึงประกาศว่าจะจำคุกซีอีโอรายนี้หากได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง
การปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญนี้จะมีผลต่อแพลตฟอร์มหลักของบริษัท ได้แก่ Facebook, Instagram และ Threads ซึ่งมีผู้ใช้งานรวมกันมากกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก โดยมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Meta ได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะกระชับความสัมพันธ์กับรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการประนีประนอมและลดความตึงเครียดที่มีมาอย่างยาวนาน
ล่าสุด Meta ได้แต่งตั้ง โจเอล แคปแลน ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน เป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการระดับโลก และได้เชิญ ดานา ไวท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Ultimate Fighting Championship ผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับนายทรัมป์ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริษัท นอกจากนี้ Meta ยังได้บริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์ให้กับกองทุนของทรัมป์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากแนวทางในอดีตอย่างชัดเจน
ซัคเคอร์เบิร์กได้กล่าวผ่านวิดีโอว่า บริษัทจะปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเนื้อหาที่น่าสงสัย โดยจะนำระบบ "บันทึกของชุมชน" มาใช้แทนระบบตรวจสอบข้อเท็จจริงแบบเดิม ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับระบบที่ใช้ในแพลตฟอร์ม X ของอีลอน มัสก์ เมื่อถูกถามถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทรัมป์ได้แสดงความพอใจ โดยกล่าวชื่นชมว่า "พวกเขามาไกลมาก และซัคเคอร์เบิร์กน่าประทับใจมาก"
นอกจากนี้ Meta จะยุติการตรวจจับคำพูดที่แสดงความเกลียดชังและการละเมิดกฎเชิงรุก โดยจะดำเนินการตรวจสอบเฉพาะเมื่อได้รับการรายงานจากผู้ใช้งานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังคงใช้ระบบอัตโนมัติในการกำจัดเนื้อหาที่มีความรุนแรงสูง เช่น การก่อการร้าย การล่วงละเมิดเด็ก การฉ้อโกง และยาเสพติด
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลเฉพาะในตลาดสหรัฐเท่านั้น โดยโปรแกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเทศอื่นๆ รวมถึงสหภาพยุโรป จะยังคงดำเนินการต่อไปตามปกติ เนื่องจากภูมิภาคเหล่านั้นมีกฎระเบียบการกำกับดูแลบริษัทเทคโนโลยีที่เข้มงวดกว่า