กต.พ้อถูกประณาม ไทยส่งกลับอุยกูร์ เลือกทางไหนล้วนมีผลกระทบ
กระทรวงการต่างประเทศ ย้ำไทยส่งอุยกูร์ 40 คนกลับจีน ตัดสินใจบนพื้นฐานหลักมนุษยธรรม พ้อหลายชาติเนรเทศผู้อพยพแต่ไร้เสียงประณาม เผยผู้ถูกส่งกลับเลือกเอง
นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ(กต.) ย้ำถึงการที่ไทยตัดสินใจส่งตัวชาวจีนอุยกูร์ 40 คนกลับจีนว่า เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของมนุษยธรรม และความถูกต้อง บนทางเลือกที่มีไม่มาก ที่แน่นอนว่า ไม่ว่าเลือกทางไหน ก็ต้องมีผลกระทบมหาศาลตามมา ที่เป็นราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อสิ่งนั้น นอกจากเสียจากจะเลือกวิธีขังเขาต่อจนตายคาคุกไป อย่างที่หลายคนเลือก
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ยังเห็นว่า เป็นที่น่าเสียใจที่เพื่อนของเราบางประเทศ ไม่เข้าใจ และเลือกที่จะประณามเราง่าย ๆ และเลือกการหาแพะมาสังเวยมโนธรรมของตัวเองแทน ซึ่งราคาของมนุษยธรรม ความถูกต้อง และการเป็นแพะสังเวยมโนธรรม (conscience scapegoat) และการชี้นิ้วประณามคนอื่นมันมักเป็นวิธีที่ง่ายกว่าเสมอ และบางทีก็ทำเพียงเพื่อได้แสดงว่า ฉันเป็นคนดีนะ แล้วไปหาคนอื่นมาเป็นแพะ เพื่อสังเวยกลบเกลื่อนต่อมมโนธรรมของตนเอง
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า ทุกวันนี้ หลายประเทศที่เคยชูเรื่องสิทธิมนุษยชนต้องเผชิญปัญหาเรื่องผู้อพยพ หลายประเทศเริ่มเนรเทศคนเหล่านี้กลับไปยังประเทศต้นทาง ที่บ้างยังมีการสู้รบ และมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ประเทศเหล่านี้ทำได้ ไม่เป็นไร ไม่มีใครประณาม
แต่เรื่องนี้มันบ่งบอกความจริงประการหนึ่งว่า การอพยพไปตั้งรกรากในประเทศที่สาม มันไม่ใช่เรื่องสวยงามง่ายดายขนาดนั้น อย่างที่หลายคนชอบนึกมันมีปัญหาเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมที่แตกต่าง ที่ก็ไม่ได้อยากต้อนรับจริง มีการดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ ฯลฯ
มีประเทศหนึ่งบอกว่า ขออย่าให้ไทยส่งตัวชาวจีนอุยกูร์กลับไปให้จีน แต่ก็ไม่ได้บอกว่า จะรับคนเหล่านั้นไปอยู่ด้วยเอง โดยเสนอว่า จะให้เอาไปอยู่ในประเทศหนึ่งในแอฟริกา ซึ่งจากข้อมูลที่ปรากฏ ประเทศที่ว่า ยังมีความขัดแย้ง การสู้รบและก่อการร้ายอยู่
ถามว่านี่คือมนุษยธรรมแค่ไหน? หรือเป็นเพียงแค่การเล่นเกมส์ในความขัดแย้งของภูมิรัฐศาสตร์ (Geo-Politics) ของบางประเทศแค่นั้น
เกณฑ์สำคัญในการพิจารณาการส่งคนกลับไปยังประเทศต้นทางว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฏหมายระหว่างประเทศหรือไม่นั้น มีหลัก ๆ สองประการ คือต้องไม่บีบบังคับและต้องไม่ส่งไปแล้วเขาจะมีภัยอันตรายต่อชีวิต
ในกรณีของชาวจีนอุยกูร์ 40 คนนั้น จึงต้องมาดูว่าเข้าข่ายนี้ไหม
ประการแรก เรื่องการบีบบังคับให้กลับ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ได้จากเจ้าหน้าที่รับผิดชอบดูแลคนเหล่านี้ระหว่างถูกคุมขัง พวกเขามีการติดต่อกับญาติพี่น้อง และรับทราบถึงพัฒนาการความเจริญก้าวหน้ากินอยู่ดีของผู้คนในซินเจียงแผ่นดินเกิดของเขา และเมื่อทราบว่า ทางการจีนมีหนังสือรับรองสวัสดิภาพของพวกเขาเป็นทางการ พวกเขาก็เลือกที่จะกลับซึ่งการเลือกกลับไปอยู่กับสังคมญาติพี่น้อง ถิ่นฐานของตนเองที่พัฒนาแล้ว อาจดีกว่ารอในห้องขังต่อไปโดยไม่รู้จุดหมาย และต้องไปอยู่ในสังคมที่ไม่ได้ยินดีต้อนรับจริง
ประการที่สอง พวกเขาจะมีภัยอันตรายต่อชีวิตไหมเมื่อกลับไปแล้วนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์โดยมีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ต่อไป ที่ไม่ใช่การคิดเอาเองตามความเชื่อหรือสมมุติฐานส่วนตน ซึ่งต้องมีการติดตามและตรวจสอบให้เป็นที่เชื่อถือได้ แต่อย่างน้อยที่สุดประเทศต้นทางได้ให้คำรับรองเป็นทางการที่เขาย่อมมีพันธะที่ต้องปฏิบัติตาม
ทั้งนี้ มั่นใจว่า จากทั้งสองข้อนี้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่หลายประเทศทำในการเนรเทศคนกลับประเทศต้นทาง ที่บางแห่งมีการใส่กุญแจมือ ใส่ตรวนที่เท้า รวมทั้งส่งไปโดยไม่มีการรับรองความปลอดภัยในสวัสดิภาพใดๆ โดยคนเหล่านั้นอาจต้องเผชิญกับภัยอันตรายถึงชีวิต
คำถามคือใครกันแน่ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน?
แต่แน่นอนว่า การชี้นิ้วประณามไทยมันย่อมง่ายกว่า และอาจทำให้เขาไม่ต้องรู้สึกผิดกับมโนธรรมตนเองมากนัก และในขณะที่หลายประเทศบอกไม่เชื่อในคำมั่นของจีน แต่ก็ยังคงมีปฏิสัมพันธ์ คบค้า ทำธุรกิจกับเขา สิ่งนี้บอกถึงอะไร?
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ยังเห็นว่า ชาวจีนอุยกูร์เหล่านั้นถูกขังมานานกว่าสิบปีโดยไม่มีความผิด โทษหลบหนีเข้าเมืองนั้นหมดอายุไปนานแล้ว และการกักขังคนโดยไม่มีความผิดแม้เพียงวันเดียวถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรงไหม?
แต่ก็น่าแปลกใจที่คนไม่น้อย รวมทั้งนักสิทธิมนุษยชนบางท่านกลับเห็นด้วยว่า ควรกักขังเขาต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ไม่สามารถมีทางออกที่ดีกว่าและเป็นไปได้จริงมาเสนอ ซึ่งผลที่จะตามมาคือพวกเขาจะต้องตายคาคุก ซึ่งพวกเขาได้เสียชีวิตระหว่างถูกกักขังไปแล้วสองคน