พี่น้อง ‘โพธิ์ศิริสุข’ สายเลือดกลุ่มสามมิตร
2 สาวพี่น้องตระกูล “โพธิ์ศิริสุข” เจ้าของและผู้บริหารกลุ่มสามมิตร บริษัทที่ครองส่วนแบ่งตลาด
โดย...วารุณี อินวันนา
2 สาวพี่น้องตระกูล “โพธิ์ศิริสุข” เจ้าของและผู้บริหารกลุ่มสามมิตร บริษัทที่ครองส่วนแบ่งตลาดรถบรรทุกอันดับ 1 ในประเทศไทย พี่สาวคนโต มณีรัตน์ โพธิ์ศิริสุข ผู้อำนวยการสื่อสารองค์กรกลุ่มสามมิตร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สามมิตรโอโตพาร์ท วัย 48 ปี กับน้องสาวคนที่ 4 รัตนา สถิรมน รองกรรมการผู้จัดการสายงานธุรกิจต่างประเทศ บริษัท สามมิตรมอเตอร์สแมนูแฟคเจอริง หรือ SMM วัย 44 ปี ต่างกันสุดขั้ว แต่ไม่ได้สร้างความแตกแยกให้สองพี่น้องแม้แต่น้อย ทั้งคู่ยังคงร่วมกันนำพาธุรกิจสามมิตรมุ่งสู่แบรนด์โลกให้ได้ในปี 2563
น้องสาวเรียบร้อย
มณีรัตน์ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 7 คน เป็นผู้ชาย 2 คน และเป็นผู้หญิง 5 คน ถือว่าสนิทกันหมด 7 คนพี่น้อง เราถูกเลี้ยงดูมาอย่างครอบครัวคนจีน ที่น้องๆ จะต้องเชื่อฟังพี่ และพี่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องๆ แต่พี่ไม่ค่อยเป็นตัวอย่างที่ดีเท่าไร เพราะไปเรียนที่สหรัฐตั้งแต่หลังจากจบชั้นมัธยมปีที่ 3
สำหรับคุณหงษ์ (รัตนา) ตอนเด็กๆ เรียนด้วยกันมาตลอดที่โรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์ จากนั้นพี่ไปเรียนต่อมัธยมปลายที่สหรัฐ Ramona Convent High School และจบปริญญาตรีด้านการตลาดที่ California State University of Los Angeles
“เราห่างกัน 6 ปี นิสัยไม่ค่อยเหมือนกัน ดิฉันเป็นคนปรู๊ดปร๊าด และการแต่งตัวก็ชอบต่างกัน เขาจะชอบแต่งตัวเรียบร้อย ส่วนพี่ไม่ค่อยตั้งใจเรียน คุณหงษ์เขาเป็นคนตั้งใจ เรียบร้อย เรียนเก่ง ได้เป็นนักเรียนตัวอย่างของโรงเรียน ซึ่งเรียนที่ประเทศไทยจนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ด้านโบราณคดี และไปเรียนต่อที่ Centra Michigan University สาขาบริหารธุรกิจ ที่สหรัฐอเมริกา มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ไม่เถียง” มณีรัตน์ กล่าว
เธอกลับมาทำงานเป็นคนแรกในจำนวนพี่น้องทั้งหมด เริ่มงานแรกในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาดและประชาสัมพันธ์ เมื่อปี 2532 ก่อนจะมาเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท สามมิตรโอโตพาร์ท ทำธุรกิจแหนบสำหรับรถทุกประเภท ได้แก่ รถปิกอัพ (กระบะ) รถบรรทุก รถเทรลเลอร์ รถหัวลาก และแหนบยกสูง SRB และธุรกิจอุปกรณ์การเกษตร ได้แก่ จานไถ ใบมีดพรวนดิน ใบมีดตัดหญ้า ใบคราดดิน และใบดันดิน
คุณหงษ์ เริ่มงานต่อจาก “มณีรัตน์” ที่เคยทำมาก่อน ก็จะคอยให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ ต้องอดทนเพราะน้องสาวไม่ได้เชื่อพี่ทุกอย่าง เธอมีความเชื่อมั่นในตัวเอง และมีความเป็นตัวของตัวเอง เมื่อเธออยากตัดสินใจและเรียนรู้เอง ก็ต้องปล่อยให้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่จะได้เรียนรู้และเป็นบทเรียนที่ต้องจดจำ
“เราเป็นโพธิ์ศิริสุขรุ่นที่ 3 มองตรงกันว่าธุรกิจจะถอยไม่ได้ ซึ่งเราผ่านการทำงานมา 20 ปี เห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ยุคต้มยำกุ้ง วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และยุคนายกรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองมากมาแล้ว ยุคต่อไปคือการเปิดประชาคมอาเซียน หรือเออีซี ที่เป็นทั้งโอกาสและอุปสรรค ที่คนอื่นจะเข้ามาสู่ตลาดไทย เราก็ต้องออกไปข้างนอกเพื่อการเติบโต ที่จะต้องใช้การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แตกต่างและดีกว่าคู่แข่ง ซึ่งเราใช้เงินปีละ 3% ของยอดขายไปกับงานวิจัยและพัฒนา” มณีรัตน์ กล่าว
พี่เป็นตัวอย่างที่ดี
รัตนา เริ่มงานครั้งแรกเมื่อปี 2538 ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าระบบงานข้อมูลวิจัยและวางแผนการตลาด SMM กับคุณหมวย (มณีรัตน์) ที่เป็นพี่สาวคนโตรองจาก “ยงยุทธ โพธิ์ศิริสุข” พี่ชายคนโต
แม้ว่าคุณหมวยจะไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก แต่ครอบครัวเราก็ยังใกล้ชิดกัน เพราะที่บ้านจะไปเยี่ยมทุกปี และเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องๆ ในเรื่องงานได้ทำหลายๆ อย่างเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว อย่างงานขยายตลาดของ SMM ไปต่างประเทศพี่เริ่มมาให้ก่อน หงษ์เข้ามาต่อยอด ก็สบายหน่อยเพราะพี่เริ่มเอาไว้ดีแล้ว
การปรึกษาหารือกันเกือบทุกเรื่อง ทั้งงาน เรื่องลูก และลงทุน เพราะลงทุนในตลาดหุ้นเหมือนกัน แต่ในที่ทำงานไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก จะใช้เวลาช่วงไปรับประทานอาหารที่บ้านพ่อแม่ ที่พี่น้องทุกคนไปรวมกันสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เป็นโอกาสในการปรึกษาและคุยกันในทุกเรื่อง
แต่เรื่องความชอบส่วนตัว ต่างก็มีสไตล์ของตัวเอง เช่น การแต่งตัว พี่เขาจะค่อนข้างทันสมัย หงษ์ชอบแบบเรียบๆ แต่พี่เขาเป็นคนมีความเป็นตัวตนสูง ถือว่าเป็นคนแรงเลย
เรื่องการทำงานมีความเห็นเดียวกัน คือ ทำให้แบรนด์ SMM ก้าวสู่การเป็นแบรนด์ชั้นนำของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกภายในปี 2563 ซึ่งแต่ละคนก็ใช้ความสามารถและความถนัดที่มีอยู่ในการผลักดันธุรกิจให้ไปถึงเป้าหมาย
นอกจากนี้ ไม่ได้มองว่าจะเก่งทุกเรื่อง ต้องรับฟังคนที่เก่งกว่า โดยได้ดึงมืออาชีพเข้ามาเสริม และการไปร่วมทำวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่กับศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมยานยนต์แห่งออสเตรเลียกับมหาวิทยาลัย Deakins ที่ออสเตรเลีย และ VPAC Innovations ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยนวัตกรรมยานยนต์ ก็เพื่ออาศัยความเชี่ยวชาญเทคโนโลยียานยนต์มาใช้ในสิ่งที่ยังขาด และมีการส่งคนของ SMM ไปอบรม เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นับเป็นพี่น้องที่ยอมรับความแตกต่างของกันและกันได้ดีเลยทีเดียว