7 ปีซานติก้า ความร้อน ความตาย ที่ใกล้แค่เอื้อม
ย้อนกลับไป 7 ปีก่อน Goodbye Santika 31 December 2008...ในคืนนั้นซานติก้า ผับไฮโซสุดหรูย่านสุขุมวิท
โดย...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ ภาพบุคคล เสกสรร โรจนเมธากร ภาพเหตุการณ์ คลังภาพโพสต์ทูเดย์
ย้อนกลับไป 7 ปีก่อน Goodbye Santika 31 December 2008...ในคืนนั้นซานติก้า ผับไฮโซสุดหรูย่านสุขุมวิทกำลังจะเปิดให้บริการเป็นคืนสุดท้ายเนื่องจากหมดสัญญาเช่า นักเที่ยวนักดื่มคืนส่งท้ายปีล้วนมีจุดหมายหนึ่งเดียวที่นี่ หนึ่งในนั้นคือกลุ่มนักศึกษาร่วมสถาบัน หนุ่ย ไช้ ไกด์ ออย แม็กและเพื่อนของแม็ก เดนตาย 6 คนที่ยังไม่รู้ชะตากรรมแม้ในเย็นย่ำของวันสิ้นปีก็ยังไม่มีใครรู้ว่า พวกเขาทั้งหกกำลังจะได้ร่วมประสบการณ์เฉียดความตาย ณ นรกและความร้อนที่คว้ามือเอื้อมมาใกล้ที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต
หนุ่ย-ประลองยุทธ ผงงอย นักข่าวสายเศรษฐกิจ โต๊ะการเงิน หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อนยังเป็นนักศึกษาจบใหม่จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตจักรพงษ-ภูวนารถ ปีนั้นการรับพระราชทานปริญญาของมหาวิทยาลัยถูกเลื่อนออกไป จบการศึกษาแต่ยังไม่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร เขาได้งานเป็นนักข่าวที่อี-ไฟแนนซ์ สำนักข่าวออนไลน์แห่งหนึ่ง
ในเย็นของคืนเกิดเหตุ แผนเที่ยวคืนสิ้นปีของนักข่าวหนุ่มวัย 23 ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างใดๆ ทั้งสิ้น เขาไม่ตั้งใจและไม่ได้วางแผนวันนั้นทำงานเสร็จ 5-6 โมงเย็นจำได้ว่ายังเดินอยู่แถวศูนย์การค้าสยาม เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มได้โทรศัพท์มาชวน ได้ยินเหมือนกับว่าแฟนของเพื่อนคนหนึ่งเป็นเมมเบอร์ที่ซานติก้า ผับหรูหราที่ได้ชื่อว่าดังที่สุดในเวลานั้น
หนุ่ย-ประลองยุทธ
กว่าจะรวมตัวกันครบก็ดึกมาก ถึงหน้าผับประมาณ 23.30 น. และกว่าจะเข้าไปภายในผับก็ต้องใช้เวลาอีก เนื่องจากคืนนั้นคนเยอะหนุ่ยและเพื่อนฝ่าฝูงคนเดินเข้าไปถึงโต๊ะที่จองไว้ในเวลาใกล้เที่ยงคืน โต๊ะของพวกเขาเป็นโต๊ะที่ดีสุดของร้าน โดยเป็นโต๊ะแรกติดขอบเวที ตั้งอยู่หน้าเวที ณ จุดกึ่งกลางของร้าน อาหารเครื่องดื่มและมิกซ์เซอร์ทุกอย่างพร้อมสรรพ มันถูกจัดวางรอไว้อย่างพรั่งพร้อมเมื่อพวกเขาไปถึง
“ผมคิดว่าเป็นโชคดีของพวกเรา ที่กว่าจะรวมพลและกว่าจะไปถึงโต๊ะได้ก็ดึกมาก น้ำแข็งละลายเกือบหมดแล้ว มีพอชงเหล้าได้กันคนละแก้วเท่านั้น พวกเราหกคนก็ได้ดื่มกันแค่แก้วแรก จากนั้นก็ไม่มีใครได้ดื่มอะไรอีกเมื่อคิดย้อนกลับไป หลายคนที่สำลักควันและเสียชีวิตจากกองเพลิงในวันนั้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะดื่มกินจนเมาแล้วไม่อาจประคองสติ ไม่สามารถพาตัวเองหนีออกจากร้านได้”
จำชื่อวงดนตรีได้แม่นคือวงเบิร์น (Burn)ดีเจภูมิกับดีเจเพชรจ้าทำหน้าที่บนเวที ขณะนั้นเคาต์ดาวน์ปีใหม่นับถอยหลัง 24.00 น. สู่วินาทีของปีใหม่ เวทีเล่นเพลง “อาโบเดเบ” ของทาทายัง เพื่อน 2 คนออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกเหลือ 4 คนอยู่ที่โต๊ะคือ หนุ่ย ไกด์ ไช้ ออย
“ที่หน้าเวทีมีพลุเล็กๆ กับริบบิ้นพลุที่ใช้มือดึงแล้วพลุจะกระจายออกมา มีการนำมาแจกคนในร้านก่อนจะเคาต์ดาวน์ด้วย ขึ้นเพลงอาโบเดเบไม่กี่อึดใจ ก็มีการยิงพลุเอฟเฟกต์จากหน้าเวที โดยยิงขึ้นรอบๆ เวทีที่ด้านหน้าบรรยากาศเป็นไปอย่างครึกครื้นสนุกสนาน”หนุ่ยเล่า
ในช่วงของการจุดพลุนี้เอง ที่หนุ่ยเริ่มสังเกตได้ถึงความร้อน เอะใจว่าแอร์เสียหรือเปล่า ไม่ทันจะคิดอะไรต่อไป ก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้ อาจเป็นกลิ่นพลุที่ค้างอยู่กระมัง ถึงตอนนี้มีคนตะโกนฮาฮาว่า “เอฟเฟกต์ เอฟเฟกต์”หากในชั่วกะพริบตาต่อไปคือองศาความร้อนที่ไล่อุณหภูมิขึ้นอย่างรวดเร็ว ร้อนจนเกินกว่าจะเป็นเอฟเฟกต์หรืออะไรทั้งสิ้น และในวินาทีเดียวกันนั้น เขาก็ได้เห็นมัน!
จุดที่หนุ่ยนั่งเป็นจุดกึ่งกลางด้านหน้าเวทีพอดี จากจุดที่เขานั่ง เขาเห็นก้อนไฟขนาดใหญ่ม้วนตัวเป็นระลอกคลื่น พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ ไล่ลงมาจากเพดานโดมตรงฝั่งของเวที ไฟนรกราวกับมีชีวิต มันม้วนตัวพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วสู่เพดานด้านหน้าเวที ถึงตอนนี้กระแสไฟฟ้าดับหมดพร้อมกันทั้งร้าน มีเพียงไฟที่แผดเผาอย่างรุนแรงอยู่ที่ด้านบนของเพดาน
จากจุดที่รับรู้ถึงความร้อน ได้กลิ่นเหม็นไหม้ และเห็นก้อนไฟก้อนใหญ่วิ่งมาที่เหนือหัวกระทั่งไฟฟ้าดับมืดทั้งร้าน เหตุการณ์ทั้งหมดนับเป็นวินาที ความรวดเร็วของเหตุการณ์ไล่มาจนถึงตอนนี้ที่มองอะไรไม่เห็นแล้ว เนื่องจากควันไฟหนาทึบปกคลุม มีเพียงเศษสะเก็ดลูกไฟเป็นหยดๆ ที่ปลิวตกลงมาจากเพดาน
หนุ่ยใช้หน้าจอโทรศัพท์ส่องสว่างเพื่อเป็นไฟนำทางแต่ไม่ได้ผล แค่ยกมือขึ้นมาตรงหน้า ก็มองไม่เห็นมือตัวเองแล้ว เขาได้แต่อาศัยไฟจากสะเก็ดไฟที่ปลิวตกลงมาจากด้านบน พาตัวเองวิ่งไปที่ประตูทางออก ทุกคนในร้านทำอย่างเดียวกัน เฮโลไปที่ประตูที่มีอยู่เพียงประตูเดียว
“จากจุดที่ดีที่สุด กลายเป็นจุดที่แย่ที่สุดเพราะเมื่อเราต้องการจะหนี กลายเป็นเราที่อยู่หลังสุดของทุกคน ผู้คนอยู่ในอาการตื่นตระหนกสุดขีด ยืนออกันอยู่เต็มทางออกท่ามกลางเสียงร้องตะโกนสับสนและเสียงครวญครางอย่างเสียขวัญหรือบางคนก็แทบจะเสียสติ” หนุ่ยเล่า
โฟมที่บุเพดานเริ่มหยดละลายลงมาเพราะความร้อน หนุ่ยเองโดนโฟมหยดใส่หลังขณะนั้นไม่รู้สึกเจ็บมากนัก เพียงแต่รู้สึกว่ามีอะไรหยดใส่หลัง สิ่งที่เขาต้องคิดและเผชิญหน้าคือความร้อนที่ร้อนมาก กับควันไฟที่เริ่มทำให้ไม่ไหว เขาเริ่มหายใจไม่ออก หนุ่ยก้มตัวลงต่ำเพื่อเอาออกซิเจน พยายามหลบให้พ้นจากความร้อนที่ด้านหลัง
คลุ้มคลั่งอยู่ในควันและความมืด หนุ่ยเล่าว่า ความร้อนไล่หลังมาจนทนไม่ไหว จะก้าวหนีก็มองไม่เห็นทาง ผู้คนเริ่มร้องโหยหวน เป็นเสียงกรีดร้องอย่างน่าสยดสยองที่ยังจำติดหูสติคือสิ่งเดียว หนุ่ยบอกตัวเองว่ายังไงก็ไปไม่ได้ ทำไงดีหายใจไม่ออกแล้ว เขาวิ่งกลับลงมาที่ด้านล่างอีกครั้ง ความร้อนที่แผดร้อนราวนรกอยู่ในตอนนี้ เริ่มทำให้เขานึกถึงความตาย
“มันร้อนเหมือนนรก มันร้อนจนทนไม่ไหว ผมตัดสินใจวิ่งมาอีกทางหนึ่ง จนถึงสุดทางเป็นบาร์เหล้าที่เป็นเคาน์เตอร์จุดจ่ายเครื่องดื่มสำหรับพนักงานเสิร์ฟ กะปีนข้ามไปอีกฝั่งเพื่อจะได้ใช้เคาน์เตอร์กำบังความร้อนจากเปลวไฟ หวังแค่ที่กำบังพอยืดชีวิต”
ชายหนุ่มสูง 170 เซนติเมตร บาร์สูงประมาณหน้าอกของเขา หากเป็นเวลาปกติคงปีนกระโดดข้ามไปอย่างสบาย แต่ในเวลานั้นกว่าจะปีนข้ามมาได้ก็เกือบจะไม่ได้ คงต้องมีมากกว่าโชคดีหนุ่ยปีนข้ามมาแล้วสัมผัสได้ถึงลมแผ่วๆ ที่พัดมากระทบตัว นั่นแสดงว่ามีทางออก ในทันทีเขาสาวเท้าต่อไปยังทิศที่มีสายลมพัดมานั้น ทั้งที่มองอะไรไม่เห็นแต่เขาคิดว่าเขามองเห็นทางออกแล้ว
ปรากฏว่าด้านหลังของเคาน์เตอร์จุดจ่ายน้ำแข็งจุดนั้นคือกระจก พนักงานที่รู้ทางคงใช้อะไรทุบแล้วหนีออกไปก่อนหน้านี้ เพียงเดินออกมา 4-5 ก้าวก็พ้นออกมานอกผับได้อย่างเหลือจะเชื่อ ในทันทีที่หนุ่ยก้าวออกมา ไฟที่ด้านหลังของเขาก็ทะยานขึ้นสู่จุดพีกหรือจุดสูงสุดของการเผาไหม้ ร้านทั้งร้านตกอยู่ในกองเพลิงที่ระเบิดแผดเผาทุกสิ่ง
หนุ่ยรีบเดินตรงไปยังถนน รถดับเพลิงเริ่มมาแล้ว เจอเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ล็อกตัวเขาไว้ดูอาการ แผ่นหลังที่โดนโฟมหยดใส่ได้รับการเยียวยาเบื้องต้น หนุ่ยถามหาเพื่อน เจอเพื่อน2 คนที่ออกมาได้ก่อน แต่เพื่อนอีก 3 คน ไช้ไกด์ และออยยังอยู่ในซานติก้า!
ไช้-อธิษฐ์ สุธีวรพงศ์ ปัจจุบันอายุ 29 ปีพนักงานขาย บริษัท โพรเฟรจกรุ๊ป ในเครือสหพัฒน์ เล่าถึงไฟนรกคืนโหดซานติก้า ไช้บอกว่า วินาทีแห่งความเป็นและความตายคือไฟที่ร้อนถึงหลัง เขาอยู่ข้างหลังเพื่อนชื่อออยกับแม็ก วิ่งตามกันออกมา แต่คนเยอะมากไม่สามารถออกไปได้ ความร้อนผลักดันให้ต้องวิ่งกลับลงไป เจอบันไดที่มีทางลงไปชั้นใต้ดิน ถึงตอนนี้ออยกับแม็กก็ไม่รู้ไปไหนแล้ว
“ลงไปเจอห้องน้ำชายห้องน้ำหญิง ผมรีบเข้าไปทางด้านห้องน้ำหญิง มีคนเข้ามาหลบอยู่บ้างแล้ว ได้น้ำขวดหนึ่งเอามาราดเสื้อราดตัวให้ชุ่ม กะวิ่งขึ้นไป ฝ่าดงไฟ ฝ่าดงคน จะไปได้มั้ยสองจิตสองใจ ได้ยินเสียงคนร้องตะโกนโหยหวนเหมือนโดนไฟเผา”
ในที่สุดต้องวิ่งกลับลงมา ไช้พบตัวเองวิ่งกลับมายืนอยู่ที่จุดเดิม ภาวนาไหว้พระ คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ และทันวิ่งเข้าไปหลบในห้องน้ำหญิงอีกครั้งก่อนจะมีคนปิดประตู ตอนนั้นควันเยอะมาก ต้องปิดประตูเพื่อหนีควัน มีคนอยู่ในห้องน้ำหญิงตอนนี้ 20-30 คน ผู้ชายอิสลามคนหนึ่งมีความเป็นผู้นำสูง เขาตะโกนให้ผู้ชายทุกคนถอดเสื้อนำไปชุบน้ำแล้วเอาไปอุดตามช่องประตู ไม่ให้ควันเข้ามาได้
“มีผู้หญิงคนหนึ่งเสียขวัญและส่งเสียงร้องกรี๊ดๆ ตลอดเวลา พยายามจะวิ่งหนีออกไปนอกห้องน้ำให้ได้ ตอนนั้นออกไปก็ตาย ได้ผู้ชายอิสลามคนนั้นที่ตะโกนบอกเพื่อนของผู้หญิงให้ช่วยกันจับ เขาสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ใครออกไป”
อยู่ในห้องน้ำเกือบครึ่งชั่วโมง ไฟจึงเริ่มซาเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเริ่มเข้ามาได้ ไช้มารู้ภายหลังว่าเพื่อนอีกคนหนึ่งคือออยก็หลบอยู่ในห้องน้ำหญิงด้วย แต่เพราะมืดและชุลมุนจึงไม่เห็นกันไม่รู้ว่าออยเข้ามาตอนไหน แต่ก็ต้องถือว่าโชคดีมาก เพราะเพื่อนอีกคนหนึ่ง-ไกด์ สลบสำลักควันอยู่ที่หน้าห้องน้ำ ตรงทางที่จะขึ้นบันได
ไกด์-ฉัตรชัย จุกสิริ ปัจจุบันอายุ 29 ปีทำงานด้านการตลาดบริษัทนำเข้าส่งออกในเครืออาร์เอ็มเอกรุ๊ป เล่าว่า ตอนเกิดเหตุตัดสินใจหนีตายลงมาข้างล่าง เพราะข้างบนคนเยอะมาก ประตูทางออกคนออเต็ม ไฟมาถึงหน้าประตูแล้วแต่คนออกไปไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใจวิ่งกลับลงมา ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามวิ่งกลับขึ้นมาอีกหลายครั้ง เพราะคิดว่าจะต้องหนีออกไปให้ได้
“ใจอยากหนี แต่มันไปไม่ได้จริงๆ หลายคนพยายาม แต่ขึ้นบันไดไปก็ต้องกลับลงมาเพราะมันร้อนมาก ผมนอนอยู่ตรงทางขึ้นบันได ใจคิดว่าคงตาย” ไกด์เล่า
ช่วงแรกยังพอเห็นทางบ้าง แต่พอนานเข้าก็มองไม่เห็นอีก ควันพิษจากการเผาไหม้คลุ้งดำไปทั่ว ความรู้สึกคือตามืดไปเลย มองอะไรไม่เห็น แค่จะลืมตาก็ยังยาก ร่างกายแทบไม่ตอบสนองแล้ว ท่ามกลางสติที่ไม่สมประดีนั้น ไกด์ตื่นบ้างสลบบ้างเพราะควัน นอนคว่ำหน้าใช้ผ้าชุบน้ำอุดจมูกอยู่กับพื้น
ใจของเขาคิดไปถึงพ่อคิดไปถึงแม่ รู้สึกผิดคร่ำครวญในใจ พ่อแม่คงต้องมางานศพเราต้องมาร้องไห้เพราะเรา พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดทั้งลำบากเหนื่อยยาก สู้อุตส่าห์ส่งเสียเงินให้เรารำ่เรียน เรามาที่นี่ทำไม เราเองก็ไม่ใช่คนเที่ยวเลย ปริญญาก็ยังไม่ได้รับ...ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาในห้วงคำนึง
สุดท้ายแล้วไกด์บอกว่า เหมือนมีอะไรถล่มใส่หลัง ตอนนั้นคิดว่าหลังคาพังลงมาแล้วเศษปูนตกลงมาโดน ทำให้มีสติกลับมาช่วงหนึ่ง เป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงฉีดน้ำดับไฟไปมากแล้ว ได้สัมผัสกระเซ็นน้ำอุ่นๆ ที่มาโดนตัว ไกด์เริ่มมีกำลังใจ เขาเหนี่ยวตัวเองขึ้นจับราวบันได โหนตัวขึ้นแล้วพยายามเดิน
ไต่บันไดขึ้นมาเจอศพมากมายตลอดทางเดินจนถึงที่หน้าประตู กองศพก่ายเกยกันอยู่นับไม่ถ้วน ไม่มีใครที่รอดชีวิตแล้ว ได้เห็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่กำลังฉีดน้ำอยู่ แม้สติจะไม่เต็มดี แต่ในวินาทีที่ได้สูดหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอด ไกด์บอกตัวเองว่าเรารอดแล้ว
เขาเดินสะเปะสะปะออกไปที่ด้านนอกได้เจอเพื่อนที่รอดชีวิตออกไปก่อน คือหนุ่ยแม็กและเพื่อนของแม็ก ดับไฟสงบในระดับหนึ่งแล้วจึงมีการลำเลียงผู้รอดชีวิตออกมาจากในห้องน้ำ ไช้กับออย เพื่อนอีกสองคนได้ออกมาสมทบในภายหลังสุด
“จากวันนั้นมาคือความกลัวและความหลอน ผมต้องยอมรับว่าจิตไม่ปกติเท่าไหร่โดยเฉพาะช่วงแรกๆ แค่จะเดินข้ามถนนก็ยังกลัว ไปดูหนังก็กลัว กลัวที่ปิด กลัวที่แคบ ผับบาร์ไม่ไปอีกเลย” ไกด์เล่า
สำหรับไช้ผู้หลบรอดไฟจากการหลบภัยในห้องน้ำหญิง เขาบอกว่า พวกเขาทั้ง 6 คนโชคดีที่พระคุ้มครอง เพื่อนทุกคนรอดหมดทั้งที่โอกาสน้อยมาก ขอบคุณนักผจญเพลิงที่มาช่วยเหลือ ส่วนหนุ่ยนักข่าว เขาได้รับบาดเจ็บที่ใบหู มือและจมูก ซึ่งโดนไฟลวกเป็นแผลพุพอง ต้องรักษาอยู่นานทีเดียว หากบาดแผลที่ฝังลึกคือแผลจากโฟมไหม้ไฟ โฟมหยดทะลุถึงชั้นเนื้อแท้ที่ลึกที่สุด จารึกรอยอยู่กลางหลังจนทุกวันนี้
หนุ่ยบอกว่า แผลที่กลางหลังของเขาทำให้ต้องรักษาตัวต่อมาอีกกว่า 6 เดือน โดยต้องทำแผลทุกวัน เป็นการทำแผลที่เจ็บปวดแทบจะขาดใจ โดยเฉพาะตอนเดรนหรือทำความสะอาดแผลให้แห้ง ไม่นับรวมบาดแผลทางใจที่ไม่สามารถอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมทึบที่ปิดหรือทางปิดได้อีก
ในที่สุดเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาจบคดีซานติก้าผับที่ยืดเยื้อยาวนานและสู้คดีกันมาถึง 7 ปี โดยศาลฎีกาได้พิพากษาแก้จำคุก 3 ปีไม่รอลงอาญา“เสี่ยขาว” ผู้บริหารผับและกรรมการบริษัทติดตั้งเอฟเฟกต์ พร้อมให้ชดใช้เป็นเงินกว่า5 ล้านบาท โทษฐานกระทำโดยประมาททำให้เกิดเพลิงไหม้ในคืนส่งท้ายปี 2551 จนมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 67 คน และบาดเจ็บร่วม 200 คน
7 ปีหนีตายซานติก้า ความร้อนและนรกที่ไม่เคยลืม คงดีกว่านี้ถ้าผู้ประกอบการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความรับผิดชอบ ไม่ปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่อาจควบคุมหลายคนที่ประสบเคราะห์ทั้งที่ตายและชีวิตเปลี่ยน หลายคนเป็นเสาหลักของครอบครัวหากต้องพลิกเปลี่ยนกลายเป็นภาระ มากท้นด้วยความทุกข์และความทรมานที่ยากเยียวยาบทเรียนราคาแพงไม่ว่ากับผู้ใด