ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร... แฮปปี้ นิว เยียร์ และตลอดไป
เมื่อปีใหม่มาถึงทีไร สัญญาณบอกให้เราได้รู้ว่า ถึงเวลาเริ่มต้นใหม่ได้แล้วนะ ปรับปรุงตัวเองได้แล้วนะพยายามทุกข์น้อยลง
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ... นนทณากรณ์ เทพสา
เมื่อปีใหม่มาถึงทีไร สัญญาณบอกให้เราได้รู้ว่า ถึงเวลาเริ่มต้นใหม่ได้แล้วนะ ปรับปรุงตัวเองได้แล้วนะพยายามทุกข์น้อยลง แต่มีความสุขให้เพิ่มมากขึ้นได้แล้วนะ ก็จะเวียนมาอีกครั้ง ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่สัญญาณบอกได้มาพร้อมกับชายหนุ่มผู้ที่พกพาความสุขและความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า
ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร นั่นเอง
ชายหนุ่มคนนี้เรียนจบด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันเขาเป็นคอลัมนิสต์ วิทยากร และนักเขียนด้านสมอง การพัฒนาชีวิต จิตวิทยา พุทธปรัชญา ศาสตร์แห่งความสำเร็จ และทักษะการสื่อสาร รวมทั้งเป็นเจ้าของผลงานหนังสือ รู้มากไปทำไม รู้ “ใจ” ก่อนดีกว่า และ สมองเศรษฐี
ว่ากันว่า เขาคือคนรุ่นใหม่ที่มีอะไรๆ น่าสนใจอยู่มิใช่น้อย และวันนี้ เขาจะมาเผยเคล็ดลับการทำให้ในปีใหม่นี้ (รวมทั้งตลอดไป) เราทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
“คนที่จะมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตเขาต้องค้นพบความหมายของชีวิต ซึ่งความหมายของชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเป็นความรัก บางคนเป็นครอบครัว บางคนเป็นหน้าที่การงาน ในส่วนของการทำงาน เชื่อไหมว่า คนที่ทำงานแล้วมีความสุขที่สุด เขาไม่ได้มีความสุขที่สุดเพราะได้ตำแหน่งดี หรือได้เงินเยอะ แต่ชีวิตเขามีความสุขที่สุด เพราะเขาได้ทำให้คนอื่นมีความสุข มีทนายความท่านหนึ่ง เขาทำงานได้เงินเป็นล้าน เขาก็แค่รู้สึกดีใจ แต่เขาไม่ได้มีความสุขที่สุดเท่ากับการที่เขาได้เป็นทนายความที่ต่อสู้คดีจนทำให้คนที่ได้รับความอยุติธรรมสามารถชนะคดีได้ สิ่งนี้ถึงกับทำให้เขาร้องไห้ เพราะเขาได้ช่วยเหลือคนอื่น”
ในส่วนของขุนเขา เขาบอกเล่าว่า เขามีความสุขมากที่สุดที่ได้ช่วยเหลือผู้คนผ่านตัวหนังสือ “เคยมีคนบอกผมว่า เมื่อเขาได้อ่านงานเขียนของผม ชีวิตของเขาได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งเมื่อผมได้รับรู้ ผมก็อิ่มใจไปเป็นเดือนๆ เขาเหล่านี้ทำให้ผมได้รู้ว่า สิ่งนี้นี่แหละ คือความสุข คือความหมาย คือรางวัลที่แท้จริงสำหรับชีวิต”
ขุนเขาเชื่อว่า คนทุกคนในทุกอาชีพมีตรงนี้หมด เพียงแค่หาจุดตรงนี้ให้เจอ แล้วเราจะมีความสุขที่ในทุกๆ วันได้ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต “เวลาเราตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แน่นอนว่า เราต้องเจอตัวเองในกระจก การที่เราได้เจอตัวเองในกระจก ย่อมหมายถึงการที่เราได้มองเห็นตัวเราเอง ได้รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร คิดอะไรอยู่ อยากทำอะไร อยากมีชีวิตในรูปแบบไหน อยากก้าวเดินไปเส้นทางใด เราคือสิ่งที่ใกล้ชิดตัวเรามากที่สุด ทว่า ตัวเรากลับกลายเป็นสิ่งที่รู้เกี่ยวกับตัวเองน้อยที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเหลือเกิน”
สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรต้องตระหนักถึง นั่นคือการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ขุนเขาได้ยกตัวอย่างชาวนาคนหนึ่งขึ้นมาว่า ชาวนาคนนี้ได้ถูกหวย ด้วยความที่เขารวยทางลัด และใช้เงินไม่เป็น ไม่อาจคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ สองปีหลังจากนั้น เขาได้ฆ่าตัวตาย เพราะโดนโกง โดนขโมย จนเกิดความเครียด ไม่รู้จะจัดการปัญหานี้อย่างไรดี “นี่ถือเป็นความรวยที่มาเร็วเกินไป และมันก็น่ากลัวกว่าความจนเสียอีก ซึ่งหากชาวนาคนนั้นคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล เขาจะรู้ว่า เมื่อเขาถูกหวย เขาจะจัดการเงินที่ได้มาได้อย่างไร และจะใช้ชีวิตให้มีความสุขได้อย่างไรหลังจากนั้น”
ขุนเขาเผยว่า การที่เราได้พบเจอความผิดพลาด ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะชีวิตของเราทุกคนคือการทดลอง และเราก็คือนักวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เป็นเด็กทารก “สังเกตไหมว่าทารกมักชอบกัด ชอบแทะ ชอบทดลองไปทั่ว ต้องรู้ต้องลองกับทุกสิ่งให้สุดๆ พอเราโตขึ้นมา ด้วยครอบครัว การศึกษา คำสบประมาท หรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้เราเลิกทดลอง ซึ่งการที่เราจะมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต เราต้องทดลองให้เยอะ เรียนรู้ให้เยอะ ผิดพลาดให้เยอะ แล้วเราจะมีปัญญาเพิ่มมากขึ้น เมื่อเรามีปัญญา เราก็จะรู้ว่า สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญที่สุด มันคือการที่เราได้สร้างความสุขและความสำเร็จให้กับตัวเราเอง สร้างได้ด้วยตัวของเราเอง ไม่ใช่ใครหรือสิ่งใดจะมาให้หรือมาสร้างให้กับเรา อย่าลืมว่า ความสุขเป็นตัวขับเคลื่อนมนุษย์มาโดยตลอด แม้ความสุขจะมีหลายระดับ หรือความละเอียดอ่อนแตกต่างกัน แต่สุดท้าย มันก็เป็นแรงขับเคลื่อนอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น คนที่จะขับเคลื่อนความสุขให้กับตัวเราได้นั้น สุดท้ายก็คือตัวเราเองอย่างที่ผมได้บอกไป”
กับคนที่ยึดติดกับอะไรบางอย่าง ยึดติดจนไม่ยอมปรับตัว หรือเปลี่ยนแปลง ขุนเขาเผยว่า สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับสมองที่ไม่อยากเปลี่ยนโดยตรง “เนื่องจากสมองเป็นอุปกรณ์ที่ถูกสร้างมาให้รักษาพลังงาน สมมติว่า มันเคยเดินจากจุดเอไปยังจุดบี เดินด้วยเส้นทางนี้โดยตลอด วันนี้เดินแบบนี้ วันต่อไปก็จะเดินแบบเดิม ที่เป็นแบบนี้เพราะสมองต้องการประหยัดพลังงาน เช่นเดียวกับคนเรา เมื่อคุ้นชินกับอะไรบางอย่าง ก็จะทำแบบนั้นอยู่อย่างนั้น ถ้าเกิดเราอยากมีความเจริญ เมื่อเราทำอะไรจนคุ้นชินไปสักพัก เราต้องถามตัวเราเองว่า มีทางอื่นอีกมั้ย ถ้าไม่ถาม ตัวเราจะแย่ เพราะโลกมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด”
ด้วยเหตุนี้ ขุนเขาจึงได้แนะนำว่า เราทุกคนต้องพยายามก้าวออกจากพื้นที่สบายหรือปลอดภัยหรือที่เราเรียกกันจนติดปากว่าคอมฟอร์ตโซนอยู่เป็นระยะๆ “คอมฟอร์ตโซน มันเป็นพื้นที่ที่อันตรายมาก หากเราใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่สบายหรือปลอดภัยนานเกินไป เราจะคุ้นชิน จนกลายเป็นย่ำอยู่ที่เดิม และอาจเผลอยึดติดความคุ้นชินนั้นไปโดยไม่รู้ตัว พอมารู้ตัวอีกที โลกของเราก็แคบลง เราก็จะกลายเป็นกบที่อยู่ในกะลา ที่มองเห็นแค่ฝากะลาของตัวเอง ซึ่งฝากะลาใบนั้นมันเล็กลงเรื่อยๆ ด้วยนะ”
ขุนเขาได้แนะนำวิธีที่จะเปิดฝากะลาออกมาดูโลกไว้ว่า เราต้องลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองไม่คุ้นชินด้วยปัญญา “เราต้องลองเสี่ยงกับเส้นทางใหม่ๆ อย่างมีปัญญา แล้วเราจะเจออะไรที่สดใหม่น่าสนใจ เมื่อเราคิดจะออกจากคอมฟอร์ตโซน ก็ต้องออกมาด้วยปัญญา แล้วเราจะรู้สึกสนุก รู้สึกมีความสุข และมีพลังในการใช้ชีวิต”
นอกจากนี้ อีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยทำให้เราทุกคนสามารถค้นพบความสุข ขุนเขาเผยว่า มันคือการได้อยู่ในโลกโซเชียลมีเดีย “ถามว่าโลกใบนี้ มันสร้างความสุขให้กับเราได้จริงหรือ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งเผยว่า สมองของคนที่เล่นโซเชียลมีเดีย มีส่วนคล้ายสมองของคนที่เล่นกาสิโน ในตอนที่เราโยกสลอตแมชชีนหรือกดปุ่มเพื่อจะได้แจ็กพอตนั้น ถ้าเราได้ เราก็ดีใจ แต่ถ้าไม่ได้ เราก็แค่ลองโยกหรือกดใหม่ ก็เหมือนเวลาเราเล่นโซเชียลมีเดีย ที่เวลาอ่านข้อความของคนอื่น แล้วรู้สึกเบื่อหน่าย เราก็แค่เลื่อนผ่าน แต่ถ้ามีคนมากดไลค์ข้อความของเรา เราก็ดีใจ ยิ่งคนที่เราแอบชอบมากดไลค์หรือมาคอมเมนต์ เรายิ่งดีใจมากเป็นพิเศษ ความสุขความดีใจนี้มันไม่ต่างกับการเล่นกาสิโน เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ไปโลกโซเชียลมีเดียจะมีอิทธิพลกับเรามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย มันกลับกลายเป็นเรื่องดี ตรงที่เราสามารถหาความสุขจากโลกใบนี้ได้มากขึ้นอีกหนึ่งช่องทางนั่นเอง”
ในฐานะที่เราทุกคนคือมนุษย์ที่ต้องออกจากบ้านไปใช้ชีวิต ต้องพบเจอผู้คนมากมาย ต้องเจอแรงกระทบหรือแรงกดดันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ชีวิตเรามีบาดแผลเล็กๆ อยู่ในใจ ขุนเขาเผยเคล็ดลับดีๆ ทิ้งท้ายไว้ว่า เราต้องอยู่กับตัวเองให้บ่อยขึ้น และต้องตั้งคำถามกับตัวเองอย่างถูกต้อง
“เพียงแค่ 2 คำถามเท่านั้น นั่นคือ 1.ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนี้ และ 2.ทำอย่างไร เราถึงจะรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ หากเราอกหักผิดหวัง เราต้องถามตัวเราเองว่าทำไมเราถึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างนี้ เราก็จะได้คำตอบว่า เพราะเรามัวแต่เอาความสุขไปฝากไว้ที่คนอื่น พอเขาจากไป เราจึงเจ็บปวด ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไม่ได้ ปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวครอบงำ เพราะอยากครอบครอง อยากยื้อ อยากดึงรั้ง คำถามต่อมา ทำอย่างไรเราถึงจะมีความสุขมากขึ้น เราก็จะได้คำตอบว่า เราต้องรู้จักคุณค่าของตัวเอง แล้วการจะรู้จักคุณค่าของตัวเอง เราต้องทำอย่างไร เราก็จะค้นพบคำตอบว่า เราต้องก้าวข้ามความกลัว ต้องรู้จักทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน พอเราทำได้ ก้าวข้ามความกลัวได้ เราก็จะกล้าหาญมากขึ้น เก่งมากขึ้น เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น ใครทิ้งเราไป เราก็จะไม่เจ็บปวดมาก ไม่เสียใจมาก เพราะเรามีทางเลือกเยอะ”