posttoday

ไซรัส ปูนาวาลลา มหาเศรษฐี เจ้าของโรงงานวัคซีน ผู้ใจบุญ (1)

12 มีนาคม 2559

ปูมหลังของ ไซรัส ปูนาวาลลา มหาเศรษฐีแห่งอินเดีย เจ้าของบริษัทวัคซีนผู้มั่งคั่ง นั้นน่าสนใจไม่น้อย

โดย...สุภชาติ เล็บนาค

ปูมหลังของ ไซรัส ปูนาวาลลา มหาเศรษฐีแห่งอินเดีย เจ้าของบริษัทวัคซีนผู้มั่งคั่ง นั้นน่าสนใจไม่น้อย เพราะเขาเริ่มต้นตั้งบริษัท Serum Institute of India เมื่อปี 2509 ขณะที่มีอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น

จากวันที่เริ่มก่อตั้งบริษัทซีรัม อินสติติวท์ ไซรัส จนถึงวันนี้ กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 5 ของอินเดีย และอันดับที่ 133 ของโลก จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ขณะเดียวกัน ธุรกิจของเขากลายเป็นโมเดล “ธุรกิจเพื่อสังคม” เพราะด้วยราคาที่ถูก การผลิตในปริมาณที่มาก รวมถึงได้คุณภาพ จนได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก

มีการประมาณการว่าวัคซีนของบริษัทไซรัสเข้าถึงเด็กเกิดใหม่มากกว่า 65% จากทั่วทุกมุมโลก แม้กระทั่งในแอฟริกาหรือในตะวันออกกลาง กระทั่งในประเทศไทย วัคซีนที่ใช้กันมากที่สุดก็มาจากบริษัทของไซรัสนั่นเอง

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และบริษัทมาสุ พาสื่อมวลชนไปที่เมืองปูเน ประเทศอินเดีย เพื่อเยี่ยมชมกระบวนการทำวัคซีนว่ากว่าจะเริ่มต้นแต่ละโดสต้องผ่านอะไรมาก รวมถึงเรียนรู้แนวคิดการทำธุรกิจของมหาเศรษฐีผู้นี้

โชคดีที่คณะสื่อมวลชนมีโอกาสได้พูดคุยกับ “ไซรัส” ด้วยตัวเอง

ชีวิตของเขานั้นน่าสนใจไม่น้อย ไซรัสไม่ใช่คนที่ยากจน แต่ก็ไม่ใช่คนที่ร่ำรวยมหาศาล เขาโตในครอบครัวที่ทำธุรกิจ “ฟาร์มม้าแข่ง” และเมื่อถึงวัยที่จะรับไม้ต่อจาก “รุ่นพ่อ” ในวัย 20 ปี ไซรัสก็ค้นพบว่า ฟาร์มม้าไม่ใช่ธุรกิจที่มีอนาคต เขาเลยเบนเข็มมาผลิต “รถแข่ง” ราคาถูกแทน แต่เมื่อมีเงินทุนไม่พอที่จะผลิตมหาศาล ไซรัสก็หาหนทางใหม่ที่จะค้นหาผลิตภัณฑ์สำหรับ “ตลาดแมส” แทน

วันหนึ่ง หลังจากพูดคุยกับสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ฟาร์ม ไซรัสก็ค้นพบว่า ม้าที่ “ปลดระวาง” แล้วของฟาร์มเขา จะถูกนำไปบริจาคให้สถาบันวัคซีนของรัฐที่นครมุมไบ เพื่อทำวัคซีนโดยกระตุ้นภูมิคุ้มกันจากตัวม้า

เขาจึงเริ่มคิดว่า ในเมื่อมีวัตถุดิบและต้นกำเนิดของการทำวัคซีนอยู่แล้ว ทำไมจึงไม่ทำวัคซีนเองเสียเลย

“ในเวลานั้นรอบบ้านผมเต็มไปด้วยชุมชนของเด็ก-ผู้ใหญ่ที่ยากจนจำนวนมาก แน่นอน คนเหล่านี้เข้าไม่ถึงบริการสาธารณสุข รวมถึงป่วยด้วยโรคง่ายๆ ที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน ขณะเดียวกันผมก็ค้นพบว่า การทำวัคซีนไม่ได้มีต้นทุนสูง หากผลิตแล้วสามารถนำไปใช้ในจำนวนมากๆ เราจึงเริ่มทำวัคซีนตัวแรกขึ้น เพราะเห็นโอกาสทั้งในทางธุรกิจ รวมถึงโอกาสในการช่วยเหลือสังคม” ไซรัส เล่าให้ฟัง

ในปีแรก ซีรัม อินสติติวท์ ก็ออกวัคซีนป้องกัน “บาดทะยัก” ออกมา และถัดจากนั้นไม่นาน ก็ตามมาด้วยวัคซีนพื้นฐานอย่างวัคซีนคอตีบ ไอกรน รวมถึงทำเซรุ่มแก้พิษงู

ในปี 2532 ซีรัม อินสติติวท์ก็ทำให้อินเดียไม่ต้องรับวัคซีนจากประเทศอื่นอีกต่อไป โดยเด็กเกิดใหม่ในประเทศได้รับวัคซีนพื้นฐานที่ครบถ้วนทั้งหมด ขณะเดียวกัน ในปี 2537 องค์การอนามัยโลกก็ให้การยอมรับ รวมถึงจัดซื้อวัคซีนของไซรัสส่งผ่านไปยังองค์การยูนิเซฟ เพื่อฉีดให้กับเด็กทั่วโลก

“ปรัชญาของเราคือ คุณภาพต้องดีที่สุด และเรื่องสุขภาพนั้นต้องเข้าถึงทุกคน ในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ ทำให้ ซีรัม อินสติติวท์กลายเป็นบริษัทวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากวัคซีนที่ผลิตและขาย” ไซรัส ระบุ

ครั้งหน้ามาตามต่อกันว่า เอฟเฟกต์จากวัคซีนของไซรัสส่งผลกระทบอะไรกับประเทศไทยและกับโรคบ้าง

Thailand Web Stat