ไซรัส ปูนาวาลลา มหาเศรษฐีเจ้าของโรงงาน วัคซีนผู้ใจบุญ (จบ)

02 เมษายน 2559

ไซรัส ปูนาวาลลา เจ้าของ ซีรัม อินสติติวท์ เจ้าของบริษัทวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เล่าให้คณะนักข่าว

โดย...ศุภชาติ เล็บนาค

ไซรัส ปูนาวาลลา เจ้าของ ซีรัม อินสติติวท์ เจ้าของบริษัทวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เล่าให้คณะนักข่าวและผู้บริหารสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ฟังว่า เหตุที่วัคซีนของเขาสามารถทำราคาได้ถูก ต่างจากวัคซีนจากยุโรปหรือสหรัฐอเมริกานั้น เป็นเพราะที่อินเดียค่าแรงขั้นต่ำต่ำกว่ามาก รวมถึงสามารถจัดสรรพนักงานเพื่อเปลี่ยนกะทำงาน ผลิตวัคซีนได้ตลอด 24 ชั่วโมง

หลังจาก 20 ปีของการสั่งสมประสบการณ์ รวมถึงสร้างคนเพื่อวิจัย-พัฒนาวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจของปูนาวาลลาก็ขยายกิ่งก้านสาขา รวมถึงมีพนักงานในโรงงานที่เมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย มากกว่า 3,000 คน โดยมีพนักงานที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอก หรือมีดีกรี “ดอกเตอร์” มากกว่า 100 คน และที่น่าสนใจคือทั้งหมดล้วนจบการศึกษาในอินเดียทั้งสิ้น ไม่ต้องส่งออกไปเรียน PHD ในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาเหมือนบางประเทศ

จากการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล ทำให้อินเดียสามารถผลิตผู้เชี่ยวชาญในด้านไบโอเทคโนโลยีจำนวนมาก แม้อินเดียจะไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวย แต่ก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลที่ผ่านๆ มาจะสร้าง “จุดแข็ง” ได้ถูกทิศทาง

วัคซีนของซีรัม อินสติติวท์ ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก ยูนิเซฟ รวมถึงรัฐบาลจากอีกหลายประเทศทั่วโลก ทั้งจากคุณภาพที่ดี และราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดมาก โดยปัจจุบันวัคซีนมากกว่าพันล้านโดสต่อปี ถูกผลิตเพื่อส่งต่อไปยังทั่วโลก

ส่วนในประเทศไทย วัคซีนจากซีรัม อินสติติวท์คือวัคซีนที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุด โดยในปี 2558 สปสช.ได้สั่งซื้อวัคซีน DTP (คอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก) วัคซีน HB (ไวรัสตับอักเสบบี) รวมถึงวัคซีนหัด-หัดเยอรมัน จำนวนมากกว่า 6.45 แสนโดส เพื่อส่งต่อไปยังโรงพยาบาล และเด็กทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ซีรัม อินสติติวท์ ยังเผยแพร่ “โนว์ฮาว” หรือวิธีผลิตวัคซีนให้กับมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงองค์การเภสัชกรรม โดยส่งเจ้าหน้าที่มาฝึกงานให้กับทั้งสองหน่วยงานเป็นประจำ เพื่อ “ตั้งไข่” ให้เกิดโรงงานวัคซีนอย่างจริงจังอีกด้วย

นพ.วิชัย โชควิวัฒน คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข สปสช. บอกว่า น่าเสียดายที่แม้ประเทศไทยจะเริ่มตั้งไข่ มีผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนเป็นลำดับต้นๆ ของภูมิภาค แต่การพัฒนาด้านวัคซีน กลับไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะ “รัฐ” ไม่เห็นความสำคัญด้านการศึกษาวิจัย รวมถึงยังสนับสนุนให้เกิดการจัดซื้อมากกว่า เพราะเห็นว่าการจัดทำโรงงานวัคซีนเป็นสิ่งที่สิ้นเปลือง

แนวคิดการก่อสร้างโรงงานวัคซีน จึงไม่ได้เริ่มต้นขึ้นจนกระทั่งปี 2547 ซึ่งเกิดการระบาดของไข้หวัดนก และจนถึงขณะนี้ โรงงานวัคซีน ที่องค์การเภสัชฯ รับผิดชอบ รวมถึงวางแผนก่อสร้างนานกว่า 10 ปี ก่อยังไม่แล้วเสร็จ

อย่างไรก็ตาม นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยันว่า ประเทศไทยควรมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง แม้จะต้องใช้เวลาเพราะ 5 ปีแรกอาจต้องลงทุนกับการศึกษาวิจัยและพัฒนา แต่หลังจากนั้นก็จะมีประสบการณ์จนสามารถผลิตในเชิงพาณิชย์ได้

ด้วยความเชื่อมั่นว่าวัคซีนจะเป็นตัวเสริมสำคัญในการป้องกันโรค เพิ่มเติมจากศักยภาพอื่นๆ ที่ไทยเป็นประเทศชั้นนำในการควบคุมโรคติดต่อต่างๆ อยู่แล้ว ให้มีศักยภาพดียิ่งขึ้น รวมถึงจัดการกับโรคต่างๆ ได้อย่างอยู่มือ ไม่ต้องกระวนกระวายจัดซื้อวัควีนในยามที่เกิดโรคระบาดอีก

Thailand Web Stat