พรพรหม อินทรัมพรรย์ ชีวิตขาดไอทีไม่ได้

01 กันยายน 2554

โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา

โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา

หากหนุ่มหล่อวัย 34 ปี ตรงหน้า สลัดเชิ้ตตัวเรียบแต่หรู กางเกงสแล็กส์ และรองเท้าหนัง ไปสวมเสื้อยืดเซอร์ๆ กับกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ไปนั่งเท่ๆ อยู่ในร้านกาแฟสักแห่ง เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยคงไม่เชื่อว่าชายผู้นี้จะสวมบทอาจารย์ที่ผลิตบัณฑิตคุณภาพออกสู่สังคมมาเกือบสิบปีแล้ว เพราะแม้จะเป็นอาจารย์ด้านกฎหมายของมหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ด้วยลุคที่ดูอ่อนกว่าวัย แกมขี้เล่นนิดๆ ของอาจารย์ป้อ-พรพรหม อินทรัมพรรย์ ได้ลบภาพของอาจารย์มหาวิทยาลัยที่หลายคนติดว่าต้องเป็นหนุ่มวิชาการ มาดนิ่ง สวมแว่นตาหน้าเตอะไปได้อย่างสิ้นเชิง

ยิ่งกว่านั้นเมื่อได้พูดคุยและทำความรู้จักกับอาจารย์หนุ่มที่มีดีกรีเป็นถึง 1 ใน 50 หนุ่มหล่อของนิตยสารคลีโอเมื่อหลายปีก่อนแล้ว บอกได้คำเดียวว่าไม่ธรรมดา เพราะไม่น่าเชื่อว่าจากเด็กวัยรุ่นที่เอนทรานซ์เพื่อพ่อแม่ และเรียนเพียงแค่ให้จบ ตั้งเป้ากับความฝันของชีวิตโดยมีเงินเป็นตัวตั้ง สุดท้ายแล้วจะอุทิศตัวเองเพื่อถ่ายทอดความรู้ ความสามารถที่มีอยู่ให้กับนักศึกษารามฯ รุ่นแล้วรุ่นเล่ามาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

อาจารย์ป้อย้อนอดีตในวัยรุ่นว่า ไม่ค่อยรักเรียนเท่าไหร่ ชีวิตนี้คิดแต่ว่าขอเอนทรานซ์ติดจุฬาฯ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ดีใจ ทั้งที่ในสมัยเรียนก็ไม่ได้สนใจหรือมีความชอบในด้านไหนเป็นพิเศษ เรียกว่าติดคณะอะไรก็ได้ขอให้ติดเป็นพอ แต่ทว่าไม่รู้เป็นโชคชะตาหรือฟ้าลิขิตถึงทำให้สุดท้ายแล้วเด็กวัยรุ่นที่ยังหาตัวเองไม่เจอ ได้มีโอกาสเข้ามาร่ำเรียนในคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ

พรพรหม อินทรัมพรรย์ ชีวิตขาดไอทีไม่ได้

“ผมเลือกไว้อันดับสุดท้าย ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้มุ่งมั่นอะไร ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ ถือว่าเป็นโชคดีมากที่เราเอนท์ติด แต่ก็ต้องเข้าใจว่าคณะนิติในยุคผมนั้นยังไม่ใช่คณะอันดับ 1 ที่มีคนอยากเรียนเยอะเหมือนทุกวันนี้” อาจารย์หนุ่มเล่าแบบไม่มีกั๊กถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตโคจรมากับกฎหมาย

“พอได้เข้ามาเรียน เราก็เริ่มชอบในวิชาชีพกฎหมาย เราคิดว่าวิชานี้จะทำให้เราไม่ถูกใครหลอกง่ายๆ เพราะรู้มากกว่าคนอื่น ก็เลยเริ่มชอบตั้งแต่ตอนนั้น”

พอเรียนจบมา อาจารย์ป้อบอกว่า ส่วนใหญ่ทุกคนจะมุ่งไปที่การทำงานในสำนักงานกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะเงินเดือนดี ซึ่งตัวอาจารย์ป้อก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มองเรื่องตัวเงินเป็นเป้าหมายสำคัญในการประกอบอาชีพ แต่ชีวิตก็เดินทางมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจเมื่อคุณแม่ประกาศิตให้สอบเนติบัณฑิตเพื่อไปใช้ต่อยอดสำหรับการเป็นอัยการ หรือผู้พิพากษา แต่เพราะมีจุดยืนที่ชัดเจนมาจนถึงทุกวันนี้ว่าไม่ขอเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการเด็ดขาด จึงเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องสอบให้เหนื่อย แต่ก็ยอมทำตามคุณแม่ขอร้อง ลาออกจากงานมาเพื่อเตรียมสอบเนติบัณฑิต แต่สุดท้ายเพราะใจไม่รัก เลยไม่ตั้งใจทำแบบเต็ม 100 ผลการสอบไม่เป็นไปดั่งที่คุณแม่หวังไว้

กระทั่งสุดท้ายคุณแม่เห็นว่าลูกชายคนนี้ชักเหลวไหล เลยตัดสินใจให้ไปตามความฝันด้วยการให้ลัดฟ้าไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านกฎหมายที่สหรัฐอเมริกา เรียนจบกลับมา 4 เดือนแรก อาจารย์ป้อในเวลานั้นกลับสวมบทเป็นหนุ่มปาร์ตี้ ที่รักการสังสรรค์เป็นชีวิตจิตใจ

พรพรหม อินทรัมพรรย์ ชีวิตขาดไอทีไม่ได้

กระทั่งชีวิตที่โรยไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ มาเจอกับโจทย์ใหญ่ที่ทำให้อาจารย์ป้อกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเพื่อนที่เราเคยเฮฮาด้วย เริ่มไม่ว่างไปเฮฮาปาร์ตี้ เริ่มเกิดข้อแตกต่างว่าทำไมเพื่อนๆ ทำงานแต่ตัวเองไม่ทำ ทำไมเพื่อนๆ มีเงินใช้ แต่ตัวเองกลับไม่มี จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต

หากแวบแรกในความคิดของอาจารย์ป้อก็ยังวนเวียนอยู่กับสายงานเก่า คือการกลับไปทำงานในสำนักงานกฎหมาย กระทั่งคุณแม่มาเป็นผู้จุดแสงสว่างในชีวิตให้ลองเป็นอาจารย์

“ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าอย่างผมจะมาสอนหนังสือใคร เป็นเด็กที่เกเรมาตลอดทั้งชีวิต จะไปสอนใครได้ ใครจะมาเชื่อถือ แต่เราก็เชื่อแม่ ลองสมัครงานด้านสายอาจารย์ดู แม้จะคิดว่าการเป็นอาจารย์เป็นข้าราชการจะได้เงินเดือนน้อย แต่ด้วยความที่เราเห็นคุณพ่อคุณแม่ซึ่งเป็นอาจารย์ทั้งคู่ ถึงเงินเดือนน้อยแต่ก็เลี้ยงลูกๆ มาได้อย่างดีมาก ก็เลยคิดว่าอาชีพนี้ต้องมีอะไรดีบ้าง”

ร่อนใบสมัครไปหลายแห่ง สุดท้ายพอรามฯ เรียกตัว เราตัดสินใจเลย เพราะเห็นว่าเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ

“ผมรู้สึกว่าเป็นดวงมากที่ได้เข้ามาสอนที่นี่ เพราะคิดว่าความรู้ความสามารถอย่างผมและการประพฤติตัวตั้งแต่สมัยเรียนไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในสถาบันที่มีชื่อเสียง เป็นโอกาสที่ไม่ควรปล่อยให้หลุดไป ถ้าเข้ามาได้จะต้องทำให้ดีที่สุด เพราะว่าในชีวิตไม่เคยคิดเลยว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้”

แม้ทุกย่างก้าวชีวิตของอาจารย์หนุ่มจะเหมือนโชคช่วย และดวงหนุนตลอด แต่ก็ยอมรับว่าประสบการณ์ชีวิตวัยรุ่นก็ช่วยให้เข้าใจนักศึกษาที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นมากขึ้น “เพราะเราก็เป็นมาก่อน รู้ว่าความจริงเขาไม่ได้มีอะไร แต่เป็นวัยที่เขาอยากจะซ่า อยากเป็นจุดสนใจในบางเรื่อง”

ด้วยเสน่ห์และความรักในวิชาชีพนี้ที่กลมกล่อมมาตลอด 9 ปี ทำให้อาจารย์ป้อที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมาให้ความรู้ใคร รู้สึกมีความสุขกับทุกๆ วัน

อาชีพนี้ยังสอนให้เขารู้ว่าเงินอาจไม่ใช่ตัวตั้งในชีวิต เพราะบางครั้งความรู้สึกบางอย่างเงินก็หาซื้อไม่ได้

“ยอมรับว่าเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ได้ใหญ่ที่สุด บางทีทำงานได้เงินเยอะ แต่อาจไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ทุกวันนี้พูดได้เต็มปากว่าเรารักวิชาชีพนี้ และรู้ว่าจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้ต้องการเงินทองอะไรขนาดนั้น เราอยู่ตรงนี้เรามีความสุขก็เพียงพอ”

ด้านไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของอาจารย์ป้อนั้นก็ไม่แตกต่าง จากหนุ่มๆ ในยุคไอทีทั่วไป โดยยอมรับว่าชีวิตถึงขั้นขาดไอทีไม่ได้ ไอทีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว สิ่งที่จูนให้ไอทีเข้ามาผูกติดกับอาจารย์มากที่สุด คือ ความก้าวล้ำของเทคโนโลยีในการช่วยสืบค้นข้อมูลต่างๆ โดยไม่ต้องไปนั่งเปิดหนังสือ เพราะแค่เข้า Google พิมพ์คำที่ต้องการก็ได้ข้อมูลมากมาย ถือว่าสะดวกมากกว่าการนั่งเปิดหนังสือทีละเล่ม

 

Thailand Web Stat