posttoday

โชคชะตาในมือเรา

05 ตุลาคม 2554

วางใจให้ถูก มองโลกในแง่ดี ไม่มีอะไรที่ไม่มีประโยชน์ แม้แต่เรื่องร้ายๆ ก็ผ่านเข้ามาในชีวิตเพื่อทดสอบเรา

วางใจให้ถูก มองโลกในแง่ดี ไม่มีอะไรที่ไม่มีประโยชน์ แม้แต่เรื่องร้ายๆ ก็ผ่านเข้ามาในชีวิตเพื่อทดสอบเรา

โดย...วีรณัฐ โรจนประภา www.kid-mai.com, www.facebook.com/kid-mai / ภาพ...นิธิมา

ได้ยินคำสอนโบราณ เก่าแก่จากครูบาอาจารย์ ฟังทีไรก็อดเห็นจริงตาม และมีความมั่นใจในการควบคุมชะตาชีวิตของตนเองด้วยมือตนเองทุกที คำสอนนั้นคือ

จงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นความประพฤติ

จงระวังความประพฤติ เพราะความประพฤติจะกลายเป็นการกระทำ

จงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นความเคยชิน

จงระวังความเคยชิน เพราะความเคยชินจะกลายเป็นนิสัย

จงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นสันดาน

และสันดานนั่นเองที่จะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของเราให้ดี เลวตามนั้น 

สรุปคืออนาคตของเราจะเป็นเช่นไร ก็เริ่มมาจากความคิดของเรานี่เอง

โชคชะตาในมือเรา

คงไม่มีใครปฏิเสธคำสอนนี้แน่ ทั้งฟังแล้วก็หวังจะใช้ความคิดบันดาลสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่ชีวิต จนทำให้หลักสูตร สูตรสำเร็จที่นิยมเปิดเรียน เปิดสอน หรือทำเป็นตำรา กลายเป็นหนังสือเบสต์ เซลเลอร์ คือเรื่องของการคิดในแง่ดี แง่บวก

เมื่อทุกคนเห็นด้วยว่าความคิดนี่เองที่เป็นต้นกำเนิดของสิ่งต่างๆ ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ชีวิตเรา แต่ถามกันง่ายๆ ว่ามีใครสักกี่คนกันเชียวที่สามารถระวังความคิดด้านลบ มุ่งแต่คิดบวกได้จริงบ้าง ?

ไม่ต้องตลอดไปหรอกครับ เอาแค่คิดบวกเป็นส่วนใหญ่ คิดลบเป็นส่วนน้อย

คำตอบคงไม่ต่างกันนั่นคือคนส่วนใหญ่รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังฝืนใจตนเองให้คิดในด้านดี หรือมองโลกในแง่ดีไม่ได้ กลายเป็นคิดลบเสียเกือบหมด คิดบวกได้แค่ไม่กี่เรื่อง ส่วนหนึ่งก็มาจากสภาพสังคมปัจจุบันที่มีแต่เรื่องชวนให้คิดระแวง ระวัง ชวนให้หวาดวิตก กังวลอยู่ตลอดเวลา หาเรื่องดีๆ ให้เป็นตัวอย่างได้ยาก หรือหากมีก็กลายเป็นสิ่งต้องสงสัยว่าดีจริงหรือ มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า เลยไม่น่าแปลกใจที่คนจำนวนมากในสังคมเลยมีชะตากรรมดั่งเป็นผู้แพ้ ไหลเคลื่อนไปตามยถา หาผู้ที่สามารถลุกขึ้นมาบัญชาชีวิตของตนให้เดิน หรือเป็นไปตามที่หวังได้น้อยเท่าน้อย ส่วนใหญ่จะโดนกระแสสังคมลากจูงไปอย่างไร้ทิศทางเสียมากกว่า

แล้วจะทำอย่างไรดี ?

คำตอบได้ตอบไปแล้ว ว่าต้อง “ระวังความคิด” ของตนนั่นไงครับ

คอยสังเกตมันให้ดี คิดไม่ดีเมื่อไหร่ให้รีบหาทางกำจัด จัดการออกไปเสีย อย่าได้ปล่อยให้มันลุกลาม ใหญ่โตขึ้นมาจนยากจะกำจัด เพราะเมื่อนั้น แม้จะอยากกำจัดเพียงใด ก็อาจจะไม่มีแรงพอแล้วก็ได้ และหากไม่มีแรงพอความคิดนั้นยิ่งใหญ่ขึ้น บงการเราได้มากขึ้น สุดท้ายอาจนำมาซึ่งข่าวเศร้าเหมือนหลายๆ ข่าวที่เราได้อ่านบนหน้าหนังสือพิมพ์นั่นเอง

เอ...แล้วแปลว่าห้ามคิดกังวลเรื่องอนาคตงั้นหรือไร ?

ย่อมไม่ใช่แน่นอน สามารถคิดห่วงกังวลอนาคตได้ตามเหตุที่มีเกิดขึ้น และก็ต้องคิดแก้ไขป้องกัน ไม่ให้เกิดความเสียหายตามมา แต่เมื่อคิดเสร็จแล้ว จะแก้ได้มากน้อยแค่ไหน ความกังวลหลังจากนั้นที่มาหลอกหลอนย้ำคิด ย้ำห่วงนั้นจำต้องปัดทิ้ง ไม่ให้มันมาเกาะกินใจเรา จนพัฒนาต่อเป็นการกระทำ เป็นนิสัย เป็นสันดาน และเป็นอนาคตอันไม่พึงปรารถนาของเราต่อไป

วางใจให้ถูก มองโลกในแง่ดี ไม่มีอะไรที่ไม่มีประโยชน์ แม้แต่เรื่องร้ายๆ ก็ผ่านเข้ามาในชีวิตเราเพื่อทดสอบเรา เพื่อวัดความสามารถ เพื่อเป็นจุดเปลี่ยนให้เราได้พัฒนา ได้ปรับปรุงสิ่งต่างๆ รวมถึงตัวเรา ที่สำคัญคือปรับปรุงวิธีคิด วิธีจัดการความคิด วิธีปฏิบัติต่อความคิดของเราให้ดียิ่งๆ ขึ้น หรือแม้แต่เมื่อที่สุดแล้วสิ่งที่เราห่วงกังวลจะเกิดผลร้ายขึ้นจริง แต่มั่นใจเถิดว่าในเรื่องร้ายนั้นย่อมมีด้านดีๆ แฝงมาด้วยเสมอ เพียงแต่เราจะหามุมดีนั้นเจอ และมองมันได้หรือไม่ ไม่มีใครที่ชีวิตราบเรียบไม่มีอุปสรรค หรือหากมีจริงชีวิตที่ราบเรียบไร้บททดสอบนั้นแหละที่จะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ในการพัฒนาตนของตนเองไปเสีย

สังคมโลกมีจุดก้าวกระโดดมาจากช่วงวิกฤตทั้งนั้น

ชีวิตคนก็เช่นกันมีจุดพลิกผันสำคัญก็เมื่อมีบททดสอบสำคัญ

ผู้แพ้คือเมื่อถึงบททดสอบนั้น ก็ไม่สามารถพลิกมันขึ้นมาได้

ผู้ชนะคือผู้ที่สมัยนี้เรียกว่าเป็นผู้สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้

ขณะที่ผู้ไม่แพ้ ไม่ชนะ อยู่บนโลกไปวันๆ แท้จริงแล้วกลับคือผู้แพ้ยิ่งกว่าผู้แพ้แบบแรกเสียอีก เพราะพวกเขาแพ้ต่อกาลเวลา แพ้แบบไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย ต่างจากผู้แพ้แบบแรก แม้เขาเจอวิกฤตแล้วผ่านไม่ได้ แต่เขาแพ้อย่างได้เรียนรู้ แม้บางคนอาจเรียนรู้ที่จะไม่รู้ ไม่ยอมรับ แต่อย่างไรก็ตามเขาจะได้บทเรียนที่เป็นประสบการณ์ตรงที่จะมีผลต่อไปภายภาคหน้าแน่

ควรขอบคุณชีวิตที่ส่งบททดสอบมาให้เรามากกว่าที่จะหลีกหนีบททดสอบนั้น เพราะไม่วันใดวันหนึ่งเราย่อมต้องประสบพบเจอมันอยู่ดี สู้เจอมันในยามที่เรายังมีหลัก อย่างน้อยเราก็รู้ว่าการปล่อยความคิดไม่ดีเกาะกุมใจไปนั้นรังแต่จะยิ่งทวีผลเสีย ผลิตผลเสียออกมาเป็นรูปธรรม เรายังมีความเชื่อที่ถูกต้องอยู่ แม้หลายคนอาจทำตามไม่ได้

แต่ถ้าบททดสอบนี้ไปเกิดในช่วงที่เราไม่มีหลักยึด ไม่มีแนวให้เดิน เราจำต้องลองผิด ลองถูก ใช้ความเจ็บปวดจริงเป็นตัวสั่งสอนโดยตรง ก็จะเดือดร้อนมากกว่ามาก

เราควรขอบใจสิ่งเลวร้ายที่ผ่านเข้ามาสู่เรามากกว่าครับ

ความสำเร็จไม่ได้ลอยมาเฉยๆ ไม่ลำบาก ไม่ฝ่าฟันจะขึ้นไปถึงยอดได้อย่างไร

จริงไหมครับ !