


ความรักของกวีผู้โศกศัลย์
นี่เป็นเพียงบางส่วนในหนังสือกวีนิพนธ์ที่ชื่อ “ปฏิพัทธ์” ผลงานเล่มล่าสุดของ นิติ วัตุยา จิตรกรและกวีรุ่นใหญ่
นี่เป็นเพียงบางส่วนในหนังสือกวีนิพนธ์ที่ชื่อ “ปฏิพัทธ์” ผลงานเล่มล่าสุดของ นิติ วัตุยา จิตรกรและกวีรุ่นใหญ่
โดย..อินทรชัย พาณิชกุล
บทกวีของฉันมิใช่อะไรอื่น
คือน้ำตาที่ไหลพรากออกมา
จากวิญญาณอ้างว้างของฉัน
คือเสียงครวญครางจากความทุกข์ระทมของฉัน
คือแรงสะอื้นจากความโศกเศร้าของฉัน
ที่ซึมผ่านเลือดจากบาดแผลที่เธอกรีด
...นี่เป็นเพียงบางส่วนในหนังสือกวีนิพนธ์ที่ชื่อ “ปฏิพัทธ์” ผลงานเล่มล่าสุดของ นิติ วัตุยา จิตรกรและกวีรุ่นใหญ่
กวีนิพนธ์เล่มบางๆ ที่จะเขย่าหัวใจให้สะดุ้งสะเทือนหวั่นไหว ด้วยถ้อยคำอันสั้นและง่ายงาม ชุ่มชโลมด้วยความปวดร้าว ทุกข์ระทม ผสมเคล้าความเปลี่ยวเหงาตามแบบฉบับของนักเขียนผู้ได้รับฉายาคนรักของความเศร้า
“มันเป็นความฝันตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ว่าอยากจะเขียนกลอนรักสักเล่ม แต่นี่ล่วงเข้าวัยชราแล้ว ถึงได้เริ่มลงมือเขียน” กวีรุ่นใหญ่วัย 65 เอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยน้ำเสียงบางเบาราวกระซิบ
เขาเล่าว่า มุมมองความรักที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์จริงลงเป็นตัวอักษรในหนังสือเล่มนี้ มิใช่อย่างความรักสดใสประโลมโลก หากเป็นความรักอันซับซ้อนไขว้เขว เต็มไปด้วยความร้าวราน ผิดหวัง พานพบพลัดพราก คราบน้ำตาและเสียงร่ำไห้
นิติเปรียบเปรยชีวิตตัวเองไว้ว่าเป็นชีวิตที่น่าเวทนา ทว่าสวยงาม ประหนึ่งดอกราตรีที่ส่งกลิ่นหอมลึกลับในความเย็นชื้น มืด และเงียบงัน
“หญิงสาวคนรักที่ผมเคยได้พบและพลัดพรากจากกัน เป็นแรงกระตุ้นให้ผมเขียนบทกวี เริ่มจากแม่ของผมซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อตอนผมอายุได้ 15 ปี ผมร้องไห้คร่ำครวญ เสียใจไม่รู้จบสิ้น นับแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ความเศร้า เหงา โดดเดี่ยว ก็กลุ้มรุมหลอมรวมอยู่ในตัวผมตลอดเวลา”
ไม่ว่าจะในงานเขียน หรือแม้แต่ภาพวาด ซึ่งนิติได้สร้างสรรค์ผลงานควบคู่กันมาเป็นระยะยาวนานกว่า 40 ปี ภาพทุกภาพ บทกวีทุกชิ้น ล้วนฉาบทาความโศกศัลย์เย็นเยือกไว้แทบเป็นเนื้อเดียวกัน
นอกจากจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักล้วนๆ แถมยังตั้งชื่อได้คมบาดใจ ร้อยเรียงกันเป็นบทได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว ไล่ตั้งแต่ “สายตาเธอบดขยี้วิญญาณฉันเป็นผงคลี” “อย่าทำน้ำตาหยดลงในจอกเมรัย” “วิญญาณชราที่เหนียวเหมือนหนังควายตากแห้ง” “กังหันโหยหากระแสลม” และ “เธอจะกลับมาเพื่อทอดทิ้งฉันไปอีก” พรั่งพรูถั่งท้นมากด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ทั้งเพ้อละเมอฝัน คิดถึงคะนึงหา ก่นด่าสาปแช่ง ร่ำไห้ฟูมฟาย จนถึงปลดปล่อยหัวใจให้เป็นอิสระจากทุกสรรพสิ่ง
“ชีวิตที่ผ่านมา อะไรต่อมิอะไรมันเปลี่ยนแปลงไปมาก สังคมที่เราอยู่มันน่าผิดหวัง สิ่งที่เคยยกย่องบูชา กลายเป็นถูกมองข้ามเฉยเมยดั่งสิ่งของไร้ค่า ความรักหรือศิลปะในอุดมคติที่เคยสูงส่ง งดงาม ละเอียดอ่อน บัดนี้ถูกโค่นลงไม่มีอะไรเหลือด้วยความคิดแบบฉาบฉวยของคนยุคใหม่”
ศิลปินและกวีอาวุโสจากชัยนาทคนนี้ นับได้ว่าเป็นขบถคนหนึ่งแห่งวงการศิลปะที่ปฏิเสธแนวคิดและความเชื่อในแบบเดิมๆ เขาสร้างสรรค์ทำงานศิลปะทั้งเขียนภาพและบทกวีโดยไม่ยึดติดรูปแบบใดๆ เคยมีผลงานรวมเล่มแล้วหลายครั้ง เช่น “เปลวไฟแห่งยุคสมัย” (2528) “จิตวิญญาณแห่งตะวันออก” (2532) “เพลงแสงดาว” (2534) “ลุ่มเจ้าพระยา” (2538) นอกจากนี้ยังเคยแสดงผลงานศิลปะทั้งในและต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 50 ครั้ง
สัมผัสความมหัศจรรย์แห่งถ้อยคำอันแสนลุ่มลึก แปลกแยก และโศกศัลย์ ในกวีนิพนธ์ที่ชื่อ ปฏิพัทธ์ สำนักพิมพ์มติชน แล้วจะเข้าใจกระจ่างแจ่มชัดว่า
หัวใจที่ไม่เคยรู้จักความรัก หรือผ่านความเจ็บปวดนั้น มิอาจเรียกได้ว่าเป็นหัวใจที่สมบูรณ์แบบ&<2288;