จากแม่ฮ่องสอนถึงลำปาง
หมายเชิญไปทำข่าวท่องเที่ยวปลายปีมีน้อยลงเหมือนทุกๆ ปี แต่หน้าหนังสือก็ต้องปิดตามเวลากำหนด
หมายเชิญไปทำข่าวท่องเที่ยวปลายปีมีน้อยลงเหมือนทุกๆ ปี แต่หน้าหนังสือก็ต้องปิดตามเวลากำหนด
โดย...จำลอง บุญสอง
หมายเชิญไปทำข่าวท่องเที่ยวปลายปีมีน้อยลงเหมือนทุกๆ ปี แต่หน้าหนังสือก็ต้องปิดตามเวลากำหนด ผมจึงต้องตัดสินใจขับรถไปแม่ฮ่องสอน ทั้งเพื่ออัพเดตพื้นที่ท่องเที่ยวและอัพเดตสมรรถนะของร่างกายตัวเองไปพร้อมๆ กัน
การเดินทางเริ่มขึ้นช่วงหัวค่ำของคืนวันที่ 30 เพื่อเลี่ยงการจราจรที่จะหนาแน่นในวันรุ่งขึ้น การเดินทางครั้งนี้แม้รถที่ขับไปจะมีศักยภาพพอที่จะเดินทางไกลได้ก็ตาม แต่รถคันดังกล่าวก็มีเพียง 4 ล้อเท่านั้น เพราะล้อที่ 5 หรือล้ออะไหล่ถูก “ขโมยยอดรัก” ขโมยไปนานมากแล้ว และไม่เคยมีล้ออะไหล่ติดท้องรถเลยตั้งแต่ถูกขโมยไป
ไม่มีก็ไม่มี เพราะทางเลือกหมด แต่ก็อุ่นใจที่มีรถของพรรคพวกร่วมเดินทางไปด้วยอีก 1 คัน นั่นหมายถึงว่าถึงรถจะยางแตกยางแบนบนถนนก็มีคนช่วยเหลือแน่นอน ตราบใดที่โทรศัพท์ในมือยังใช้ได้ แต่เดินทางกันไปได้ไม่นาน ยางที่เพิ่งปะไปเมื่อวานก็เกิดรั่วขึ้นมาก่อนถึงทางแยกเข้าอุทัยธานี ท่ามกลางรถจำนวนมากที่ควบโค้งมาด้วยความเร็วจัดเพราะเป็นยามดึก
ผมต้องขับขาเป๋ฝ่าฝูงรถเข้าข้างทางทันทีที่รู้ว่ารถยางแตก โชคดีที่เบียดเข้าไปได้ แต่โชคร้ายที่ว่าริมทางที่ผมนำรถเข้าจอดเป็น “โค้งหวาดเสียว” เพราะเป็นโค้งขอบทางที่ “รถบัสประจำทาง” สามารถวิ่งเรียบทางได้โดยไม่มีรอยย่นของถนนเป็นอุปสรรคต่อการเดินรถ หมายความง่ายๆ ว่า รถบัสรถบรรทุกชอบวิ่งขอบนี้นั่นแหละ
หลังจากเปิดไฟผ่าหมากให้กับรถตัวเองแล้วผมก็ยังรู้สึกว่า “ความปลอดภัย” น้อยมาก เพราะบริเวณดังกล่าวนอกจากจะมืดมาก ท้ายสุดก็นึกขึ้นมาได้ว่า ใช้ไฟฉายช่วยส่งสัญญาณดีกว่า เพราะรู้ดีว่า “คนตายเพราะรถเสีย” ไปมากต่อมากแล้ว!
หลังจากโทร.บอกพรรคพวกให้มาช่วยแล้ว ยังโทร.บอกผู้อำนวยการ ททท.นครสวรรค์อุทัยธานี ท่านติ๊ก สุรชัย ที่ชวนผมกินข้าวต้มกลางดึกที่อุทัยฯ ก่อนว่าผมไปกินข้าวด้วยไม่ได้แล้ว เพราะรถยางแตกอยู่ริมถนน ท่านติ๊กก็ดีใจหาย รีบบึ่งรถมาหาทันที ระหว่างรอความช่วยเหลือจากเพื่อนฝูง ผมได้เจ้าหน้าที่ทางหลวงซึ่งตระเวนช่วยรถเสียช่วงปีใหม่มาวางกรวยให้สัญญาณเพื่อชะลอความเร็วของรถที่วิ่งเขามาลง พลางฉายไฟฉายช่วย พวกเขาออกปากจะช่วยเปลี่ยนยางอะไหล่ให้ เพราะรู้ดีว่าคนขับรถมักจะเงอะๆ งะๆ เสมอยามยางแตก แต่ยางอะไหล่รถผมไม่มีอย่างว่า เขาเลยต้องรอช่างที่ไปแจ้งให้ร้านยางเอามาเปลี่ยนด้วยกับเรา
ท่ามกลางความมืดของนาที่อยู่ด้านข้าง ผมเห็นรถติดไฟอยู่แวบๆ น้องๆ ทางหลวงตอบข้อสงสัยของผมว่า เจ้าของนากำลังขึงสายไฟเปลือยดักฆ่าหนูที่จะมากินข้าวที่กำลังสุกด้วยไฟแบตเตอรี่ ผมนึกในใจว่าช่วงน้ำท่วมคนจับงูเห่าที่หนีน้ำไปกินเสียมาก หนูจึงเพิ่มปริมาณขึ้น
ย่านนั้นมีพรานล่าหนูขายหลายรายก็ช่วยไม่ได้ เพราะนอกจากจะมีการทำนากันทั้งปีจนหนูมีอาหารกินเหลือเฟือแล้ว หนูคลอดลูกออกมาแต่ละครอกก็กว่าสิบตัวทุกครอก แถมแม่หนูตัวหนึ่งๆ ยังสามารถออกลูกได้ปีละหลายครอกอีกต่างหาก
ผมนึกในใจว่า ใครแข็งแรงกว่าก็เป็น “ผู้ล่า” ใครอ่อนแอกว่าก็เป็น “ผู้ถูกล่า” แต่เรื่องที่รถเสียอยู่กลางไฮเวย์อย่างผมนี่ ก็ต้องหวังว่าผมคงไม่ถูกรถคันอื่น “ล่า” ถ้าโชคของเราดีพอ
คืนนั้นผมไม่ได้กินข้าวระหว่างเดินทาง เพราะรู้ดีว่าถ้าไม่หนักท้องแล้วก็จะสามารถขับรถไปได้นานๆ ทีเดียว และเพื่อไม่ให้เพลียจนเกินไป ผมเลยดื่มอาหารเสริมบวกกาแฟกระป๋องไปพร้อมๆ กัน กาแฟกระป๋องอะไรไม่รู้ กินแล้วไม่ง่วงเลย สามารถขับรถไปถึง อ.เถิน เมืองลำปาง ได้โดยไม่มีอาการวูบ แต่พอนานไปกว่านั้นก็วูบ ต้องเปลี่ยนให้น้องอีกคันมาช่วยขับ เพื่อของีบสักนิด
อากาศต่างจังหวัดที่ล้อมรอบด้วยป่าเขาริมเขื่อนใกล้น้ำปิงดีเหลือเกิน หลังจากนอนไปครึ่งชั่วโมง ตื่นขึ้นมาอาการไข้สะง่อกสะแงกที่ออกฤทธิ์ครั้งอยู่กรุงเทพฯ ก็หายไปราวกับปลิดทิ้ง รีบไปเปลี่ยนน้องคนช่วยขับแล้วขับต่อไปจนถึงอุทยานออบหลวง คุณแต้ก แห่งฟูจิทัวร์ สั่งไข่ลวกมาให้ผม 2 ลูก แม้จะไม่ค่อยอยากกินไข่ลวกนัก แต่ก็ต้องกระดกใส่ปาก ด้วยความเชื่อว่าไข่ 2 ฟองคงจะช่วยให้ร่างกายที่โทรมจากการขับรถฟื้นขึ้นมาได้ “ปลาสังกะวาด” ที่เขาเอามาตากเป็นวงๆ เหมือนปลากระเบนน้อย ถูกสั่งมากินกับข้าวเหนียวร้อนๆ ในกระติก กลั้วด้วยกาแฟสดขมๆ หวานๆ ช่วยให้เรี่ยวแรงคืนกลับมาได้ไม่น้อย
หัวหน้าอุทยานมานั่งคุยด้วยที่โต๊ะท่ามกลางอากาศหนาว เขาคุยถึงเรื่องนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวออบหลวงว่ามีไม่มากนัก เพราะนักท่องเที่ยวต่างพากันไปดอยอินทนนท์ที่หนาวกว่ากันหมด ได้พูดกับหัวหน้าอุทยานแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเลี้ยวไปถึงเรื่องภารกิจ “วังน้ำเขียว” ที่หัวหน้าอุทยานทุกคนต้องไป “จับสลาก” รื้อถอนรีสอร์ตใดรีสอร์ตหนึ่งตามคำสั่งอธิบดีกรมอุทยาน
ผมอวยพรแบบหยิกแกมหยอกกับท่านไปว่า ขอให้ท่านจับได้รีสอร์ตที่เจ้าของเป็น “ผู้มีอิทธิพลอำนาจมืด” มากๆ เช่นเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หมอ หรืออาชีพพิเศษอื่นๆ เถิด ท่านจะได้ “ดัง”
หัวหน้าอุทยานโบกมือหย็อยๆ บอกว่า “ไม่อยากได้สิทธินี้เดี๋ยวนั้น” การรื้อถอนรีสอร์ตหรือบ้านคนใหญ่คนโต แม้จะกระทำภายใต้คำสั่งศาลก็น่ากลัว เพราะผู้มีอิทธิพลก็คือผู้มีอิทธิพล นอกจาก “เรื่องมาก” แล้ว ยัง “ยืดเรื่องเก่ง” โยกโย้เก่งอีกด้วย
เรื่องรื้อบ้านหรือรีสอร์ตผู้มีอิทธิพล ทำให้อดนึกถึงการรื้อบ้านที่ “เขายายเที่ยง” ไม่ได้ แต่นั่นเจ้าของไม่ต้านเรื่อง ก็เลยจบลงด้วยดี กรณี “วังน้ำเขียว” ถึงแม้จะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือไม่ก็ตาม ผมก็ยังเชียร์เจ้าหน้าที่อุทยานและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ว่า ผิดก็ให้ว่าไปตามผิด แต่อย่าทำสองมาตรฐาน “ละเว้น” กระทำต่อคนคนหนึ่ง ในขณะที่ไปกระทำกับคนอีกหลายๆ คน เพราะไม่ใช่เพียงแต่การรุกพื้นที่วังน้ำเขียวเท่านั้น ยังมีผู้บุกรุกอีกมากมายในแผ่นดินนี้ การกว้านซื้อที่จากคนยากคนจนที่บุกรุกป่าสาธารณะของคนที่รวยกว่า คือการประกอบอาชญากรรมต่อประเทศชาติ น่าเห็นใจ “คนยากคนจนที่รุกที่สาธารณะ” เพราะการเมืองการปกครองของบ้านเราทำให้ไม่เกิดการเฉลี่ยรายได้ที่ไม่เป็นธรรม คนรวยที่อยู่เบื้องหลังการเมืองไทยไม่ว่าทางตรงและทางอ้อมก็รวยเอาๆ ผกผันกับคนจนที่จนเอาๆ เหมือนอยู่กันคนละแผ่นดิน วันนี้ “ที่ดิน” ซึ่งเป็น “ทุน” ของทุกชีวิต ไม่ตกอยู่ในมือของนายทุนชาติ ก็ตกอยู่ในมือของ “ทุนต่างชาติ” ที่มาในรูปต่างๆ ที่มีทั้ง “นักการเมือง” “พรรคการเมือง” ในระบอบเผด็จการ ระบบรัฐสภาระดับชาติและระดับท้องถิ่นเป็น “นายหน้า” ไม่ต้องพูดถึงบรรดาเมียชาวต่างชาติหรอก เพราะมันเล็กเกินไป ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ก็ต้องไปแก้ที่ “เหตุแห่งทุกข์” คือการเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้แต่นายทุน “มือยาว” แต่ไม่เอื้อประโยชน์แก่คนยากจน “มือสั้น” ถ้าเราขืนไปแก้ปลายเหตุ คือไล่จับเอาแต่คนจนๆ ยังไงก็แก้ไม่จบ เพราะคนจนที่เกิดจาก “ระบอบอุบาทว์” มีมากเหลือเกิน จึงทำให้ความจน “จนกระจาย” คนรวย “รวยกระจุก” อย่างที่รู้ๆ กัน คนจนกระจายนั่นแหละที่ “พร้อม” จะถางป่า “เพื่อปากเพื่อท้อง” แล้วขายให้นายทุนเป็น “วงจรอุบาทว์” ที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้รู้กันดี ส่วนคนกรุงจะเชื่อผมหรือไม่เชื่อผมก็ไม่สนตุ้ยด้วยหรอกครับ
ไม่น่าเชื่อว่าประเทศเล็กๆ อย่างไทย จะมีคนรวยติดอันดับโลกอย่าง “พอเพียง” หลายราย ในขณะที่คนร่วมชาติจำนวนมหาศาล “จน” อย่าง “ไม่พอเพียง” อย่างที่สุด จนเชื่อได้ว่า “ค่า” แห่งชีวิตคนจนบางคน “ต่ำ” กว่าสุนัขของคนรวยบางคนมาก หลายครอบครัวบ้านแตกสาแหรกขาด ทิ้งลูกไว้ให้คนแก่ที่หมดกำลัง “เลี้ยงดูกันตามมีตามเกิด” บน “ผืนนาเช่า” ที่ตัวเอง “เคยเป็น” “เจ้าของ”
รวยกันในท่ามกลางความยากจนของคนร่วมชาติน่าภาคภูมิใจกันตรงไหน?
มีบ้านทำด้วยทองคำท่ามกลางสลัม คิดว่าจะรอดหรือ?
ก็เพราะรวยอุบาทว์ๆ กันแบบนี้ไม่ใช่หรือ ที่ทำให้เกิด Civil War ในบ้านในเมืองเราในวันนี้ ไม่ต้องมาเถียงว่าบ้านนี้เมืองนี้สงบร่มเย็นน่าอยู่ หันไปดูสิว่ามีบ้านมีเมืองไหนในโลกบ้างที่กลุ่มผลประโยชน์ประท้วงกันรายวันเหมือนดอกเห็ด ระเบิดภาคใต้ก็มีแทบจะทุกวัน ไม่ว่าเหลืองหรือแดงขึ้นมาปกครอง
อย่างนี้ร่มเย็นเป็นสุขหรือ? เจ้าหน้าที่และประชาชนตายไปในสงครามประชาชนภาคใต้แทบจะมากกว่าสงครามกับคอมมิวนิสต์อีก หลอกเด็กว่าร่มเย็นได้ก็หลอกไป!
ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้ว ก็ฝากไปถึงพวกสันติวิธีไร้เดียงสาหน่อยว่า “อย่าเก่ง” “หลังเกิดเหตุ” ถ้าจะเก่งต้องเก่งก่อนเกิดเหตุ คือรู้ว่าอะไรคือเหตุแห่งความขัดแย้ง รู้แค่นั้นยังไม่พอ ยังต้องรู้วิธีขจัดเหตุแห่งความขัดแย้งดังกล่าวด้วย ถ้ามาเก่งหลังความขัดแย้งก็ย่อมหนีไม่พ้นที่จะถูกครหาว่า ตั้ง “องค์กร” ขึ้นมาเพื่อ “รักษาระบอบเลว” นี้เอาไว้ เพื่อให้พวกตัวเอง “มีงาน” “เลี้ยงไข้” ทำ หรือทำงานที่เป็นเพียงแค่ “กลไกทางยุทธวิธี” ให้มหาอำนาจต่างชาติเท่านั้น อยากจะเตือนน้องที่มีใจบริสุทธิ์ในการเข้าไปทำงานด้วยว่า “ความขัดแย้ง” อันเนื่องจากระบอบผิด กำลังสำแดงฤทธิ์ของมันอีกไม่ช้าไม่นาน ทำงาน “เชิงรุก” ดีกว่าทำงาน “เชิงรับ” มา “ทำงานเช้า” คือป้องกันเหตุดีกว่ามา “ทำงานสาย” คือมาหลังจากเกิดเหตุแล้ว
และก็บอกไปถึง “นักปรองดองเพื่อระบอบเผด็จการ” ที่กำลังถกๆ กันอยู่ ไม่ว่าจะมียศใหญ่ตำแหน่งใดว่า ที่ทำๆ กันอยู่นั่นเป็นการปรองดองระหว่างผู้ปกครองกับผู้ปกครองที่ตั้งอยู่บน “มิจฉาทิฐิ” หรือตั้งอยู่บนอวิชชากันทั้งนั้น ความขัดแย้งจริงอยู่ที่ผู้ถูกปกครองกับผู้ปกครองต่างหาก “ปฏิจจสมุปบาท” ชี้ให้เห็นแล้วว่า ถ้าตั้งต้นแก้ไขปัญหากันบนความเห็นผิด หรืออวิชชา หรือบนความขัดแย้งที่ไม่จริงแล้ว ผลลัพธ์ก็คือ ชาติเราต้อง “เวียนว่ายตายเกิด” อยู่ใน “วงจรอุบาทว์” อย่างนี้เรื่อยไป เริ่มแก้ปัญหาทีไรก็เริ่มกันที่ “รัฐธรรมนูญ” ทุกที ไม่ได้เริ่มกันที่ประชาธิปไตยหรือไม่ประชาธิปไตยสักครั้ง บ้านเมืองถึงตกต่ำอยู่อย่างนี้ ใกล้พุทธ แต่ไม่รู้พุทธ ทำเหมือน “ทัพพีไม่รู้รสแกง” ไม่มีผิด
เมืองแม่ฮ่องสอนเป็นเมืองไทยใหญ่แท้ๆ ผู้นำไทยใหญ่สมัยก่อนคือ เจ้ากอนเจิง ก็อยู่ที่นี่ ขุนส่าก็อยู่แถวนี้ รวมทั้งเจ้ายอดศึกด้วย ผู้นำกะเหรี่ยงแดงยุคก่อนผมก็เคยไปสัมภาษณ์ที่แม่ฮ่องสอน วันนี้กองกำลังกะเหรี่ยงแดงคงหมดสภาพไปแล้วหลังจากพม่า“รุกทางการเมือง”ต่อชนกลุ่มน้อย และนางอองซานซูจีที่ตะวันตกให้การสนับสนุนอยู่ การรุกทางการเมืองชนิด“ทำเป็น”ทำให้กองกำลังต่างๆ“หมดกำลัง”ไปเอง ต่อไปผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงแดง กะเหรี่ยงเคเอ็นยู และกะเหรี่ยงคอยาวที่เคยลี้ภัยอยู่เมืองไทยจะกลับไปมีชีวิตอยู่ในบ้านในเมืองพม่ากันหรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องที่น่าติดตาม จะเหมือนกับอดีต พ.ค.ท.ไทยในวันนี้หรือไม่ พวกที่เรียนรัฐศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ควรต้องติดตาม วิชาการเขาให้เรียนกันในชีวิตจริง ไม่ใช่ให้เรียนกันในกระดาษหรือในห้องเรียน ผู้บริหารคิดกันบ้างหรือเปล่า หรือคิดแต่เอาตัวรอดกันอย่างเดียว
กะเหรี่ยงคอยาวน่าต้องห่วง เพราะทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายพม่าจองเอาไว้เป็น“พรีเซนเตอร์”โฆษณาสินค้ากันทั้งสองประเทศ แต่ชนเผ่านี้หลายคน“คอสั้น”ไปแล้ว เพราะไม่อยากใส่บ่วงคอตามบรรพบุรุษ ผมว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นพัฒนาการของมนุษย์ ใครปฏิเสธอิทัปจจยตาเท่ากับปฏิเสธความจริงแท้ การปฏิเสธความจริงแท้เท่ากับว่าเอาอัตวิสัยไปกำหนดภาวะวิสัย ทุกข์เองโดยไม่มีใครทำให้ทุกข์นั่นแหละ
แม่ฮ่องสอนเคยเป็นเมืองผ่านของยาเสพติดที่มีแหล่งผลิตอยู่ในพม่ามาก่อน คนผลิตก็หน้าตาเดียวกันกับชนกลุ่มน้อยที่ไทยและอเมริกาเคยให้การสนับสนุนนั่นแหละ ตอนนี้เฮโรอีนซาลงไปเพราะต้องใช้พื้นที่ปลูก เจ้าหน้าที่ขึ้น ฮ. ตรวจดูได้ ทำให้“ยาบ้า”เข้ามาแทนที่ ที่ยาเสพติดระบาดหนักในบ้านเราก็เพราะการปกครองอุบาทว์ที่ทำให้คนจนมาก แถมส่งเสริมคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์แบบสังคมอริยะ คนก็เลยค้ายาบ้าเพื่อรวยเร็วๆ โดยไม่คำนึงถึงคนอื่น
วันนี้แม่ฮ่องสอนมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพราะเป็นจังหวัดที่มีอัตลักษณ์พิเศษคือ เมืองแต่ละเมืองเป็นValleyหมด ถ้าผมเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าฯ ททท. หรือองค์กรเพื่อพัฒนาพื้นที่พิเศษ (ซึ่งควรจะขึ้นกับกระทรวงมากกว่าขึ้นอยู่กับสำนักนายกอย่างในวันนี้) ผมจะดีไซน์เมืองแม่ฮ่องสอนที่มีVallayนี้ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวพิเศษ เพราะมีเอกลักษณ์ มหาเธย์เขาทำเกาะลังกาวีให้คุณทักษิณไปเทียวไล้เทียวขื่อมาทำที่เกาะช้าง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะ“ระบอบและการปกครองต่างกัน”ถ้าจะทำแม่ฮ่องสอนให้เป็นเมืองสวรรค์สำหรับการท่องเที่ยวธรรมชาติ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยก่อน ไม่เช่นนั้นเงินที่ส่งไปสร้างบ้านสร้างเมืองจะเหลือแต่“ไม้ไอติม”
พระธาตุดอยกองมูเป็นที่ที่ง่ายที่สุดของการไปเยี่ยมชมในหน้าหนาวเช่นเดียวกับพระธาตุจองคำ ตอนเย็นผมขึ้นไปถ่ายภาพเทือกเขาสลับซับซ้อนด้านทิศตะวันตกของจังหวัดมาทีหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่จุใจ เพราะไม่ได้มุมสูง ตอนเช้าก็เลยแหกขี้ตาตื่นไปดูทะเลหมอกเหนือเมืองแม่ฮ่องสอนซ้ำอีก ไม่เห็นทะเลหมอก เห็นแต่หมอกขาวโพลนไปทั้งเมือง ภาพถ่ายจึงเป็นภาพพระธาตุดอยกองมูในม่านหมอกแทน
ปางอุ๋งที่เดินทางไปเยือนในวันนั้นมีคนไปเที่ยวมาก เพราะแรงโฆษณาจากรูปภาพที่ถูกส่งต่อ ปางอุ๋ง มีอ่างเก็บน้ำที่กลายเป็นไออ้อยอิ่งได้ตอนหน้าหนาว น้ำในอ่างเป็น“รีเฟลกซ์”ชั้นดีที่ช่วยให้ทุกคนสามารถถ่ายภาพได้สวย แม้หน้าตาจะอัปลักษณ์เหมือนผม ถ้ามีผ้าพันคอกันหนาวสีสวยๆ มา บวกกับเต็นท์สีฉูดฉาดแล้ว ถ่ายไปยังไงก็สวย เพราะได้รีเฟลกซ์ช่วย
แต่พื้นที่สะท้อนน้ำจะถ่ายภาพสวยไปทุกที่ก็หาไม่นะครับ ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย เช่น มีต้นไม้ที่ช่วยบังแสง มีฉากหลังสีเขียวหรือดำด้วยจึงจะช่วยได้มาก แม่ฮ่องสอนทั้งเมืองถ้าดีไซน์ให้งามทั้งเมืองโดยเอาความเป็นวาเลย์หรือความเป็นหุบเขาเป็นตัวตั้ง เอาความเป็นไทยใหญ่ ลีซอ ม้ง กะเหรี่ยง บวกเข้าไปด้วยอย่างกลมกลืนกับป่าธรรมชาติ มีคนใจนักเลงแบบกำนันตำบลผาบ่องเยอะๆ แม่ฮ่องสอนคือสวรรค์ดีๆ นี่เอง
กลับมากินข้าวที่ในเมืองด้วยการอนุเคราะห์ของผู้อำนวยการ ททท.แม่ฮ่องสอน คือ ท่านวิษณุ อรุณบำรุงวงศ์ ผู้อำนวยการคนนี้เป็นหนึ่งในจำนวนผู้อำนวยการหนุ่มไฟแรงของ ททท. ท่านเพิ่งมาใหม่ ผมที่คุ้นกับแม่ฮ่องสอนมาก่อนจึงชวนท่านไปหาพรรคพวกผมคือวิสูตรที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นมาหลายสมัย วิสูตรเคยเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานการปฐมศึกษาจังหวัดที่เคยรับรองผมมาก่อน ตอนหลังลาออกมารับสมัครรับเลือกตั้ง จนได้เป็น สจ.หลายสมัย ผมว่าต่อไปคงได้เป็น อบต.
วิสูตรพาผมไปเที่ยวโฮมสเตย์ไทยใหญ่แถวหมู่บ้านที่เขาเกิด คือที่ผาบ่อง ซึ่งมีน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงมานาน เขาพาพวกเราไปเจอกำนันอมร ศรีตระกูล ที่ทำรีสอร์ตเล็กๆ สไตล์ไทยใหญ่ เจ้าของเขาตั้งใจจะเอาไว้รับรองแขกของจังหวัด แต่ต่อมาก็มีคนมาขอพักมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะชอบบรรยากาศที่ฉากหลังรีสอร์ต“สไตล์ไทยใหญ่”ไม่ว่าด้านใดล้วนเป็นภูเขาสวยทั้งหมด จนต้องทำเป็นธุรกิจ ใครไปพักที่นี่นอกจากจะตะลึงกับฉากงามของธรรมชาติและบ้านไทยใหญ่ที่สร้างขึ้นมาด้วยใจแล้ว ยังชื่นชอบในความมีจิตใจนักเลง (ไม่ใช่หัวไม้นะครับ)ของกำนันด้วย
รีสอร์ตแห่งนี้นอกจากจะเป็นเป็นอันซีน รีสอร์ตแล้ว เจ้าของคือกำนันก็ยัง“อันซีน”ด้วย (อ่านเรื่องประกอบหน้า 14-15) ใครอยากเห็นรีสอร์ตกลางนาแล้วนาอยู่ในหุบเขาก็โทร.ไปที่08-0670-7949
ขับรถไปเมืองปายตอนบ่ายแก่ๆ เพราะหลงคารมกำนัน ไปถึงปายก็มืดแล้ว คนกรุงเทพฯ มาเที่ยวปายจนพวกเราหาที่วางเท้าไม่เจอ ผมไม่ได้ไปเคาต์ดาวน์กับเขาด้วย เพราะนอกจากจะเพลียกับการเดินทางแล้ว ยังเบื่อเหงื่อไคลคนกรุงเทพฯ ด้วย นอนอุตุอยู่ในโรงแรมดีกว่า (ไม่ควรบอกใครว่าแก่แล้ว) เช้าตื่นขึ้นมาชวนพี่มานพ คำหอม ขึ้นไปถ่ายภาพมุมสูงบนวัด แต่ก็ไม่เวิร์ก เพราะมีแต่หมอก ต้องหาทางลงมาถ่ายภาพใส่บาตรพระที่หน้าอำเภอ แล้วกินกาแฟกับท่านนายอำเภอก่อนที่จะไปดูการปลูกสตรอเบอร์รีไร้สารพิษที่บ้านกุงแกง ริมน้ำปาย
เจ้าของไร่เก่งเรื่องการปลูกสตรอเบอร์รีมาก ใช้กระดาษทาน้ำมันดักแมลงที่มาตอมจนไม่ต้องใช้สารพิษฉีดฆ่า ดินที่นี่ดีมาก เพราะเป็นดินปนทรายที่ได้มาจากการไหลของน้ำจากภูเขา รสชาติของสตรอเบอร์รีจึงหวานและนุ่มปาก เจ้าของเอาสตรอเบอร์รีลูกใหญ่ของที่อื่นมาเปรียบเทียบและให้ชิม ผลก็คือของเขาหวานอร่อยกว่ามาก
ไร่สตรอเบอร์รีปายเป็นอันซีนอีกชิ้นหนึ่งที่ผมชวนให้ท่านผู้อ่านไปชิม เพราะชิมได้สดๆ ไม่ต้องกลัวยาฆ่าแมลง ใครอยากไปโทร.ไปก่อน08-1882-9896
ถัดจากสตรอเบอร์รีแสนอร่อย ผมก็ลองโทร.ไปหาน้องสาวที่เป็นเจ้าหน้าที่ของกุงแกงรีสอร์ตที่เคยชวนผมไปInspectionผมไม่กล้าโทร.ไปเมื่อคืนก่อน เพราะรู้ดีว่าห้องเต็ม และเป็นช่วงวันที่พวกเขาหารายได้อย่างเต็มที่ ถ้าผมโทร.ไปหาก็เป็นการรบกวนเขาไปเปล่าๆ วันกลับก็เลยโทร.ไป กุงแกงของเขาเป็นอีกรีสอร์ตหนึ่งที่ต้องแนะนำ เพราะนอกจากเจ้าของจะให้สีสดใสน่าพักแล้ว ฉากหน้าฉากหลังก็งามไปหมด รีสอร์แห่งนี้เป็นความฝันของเจ้าของเขาทีเดียว เพราะหน้าฝนสามารถเห็นรุ้งกินน้ำได้แทบจะทุกวันที่มีแสงสว่างส่องลงมาจากฟ้าด้านตะวันตก
ที่นี่เขาทำสวนดอกไม้ได้งาม พืชสวนโลกก็พืชสวนโลกเถอะ เป็นได้อายถ้ามาดูการจัดสวนที่นี่ การลงทุนไปด้วยราคาเฉียดล้าน สร้างสีสันให้ปายที่กำลังจะแห้งแล้งไปตามฤดูกาลมีความสดใสขึ้น ปายไม่ใช่เมืองขยะคนกรุงอย่างที่กล่าวหา เพราะ“แมนเมด”ช่วยสร้างสวรรค์ได้ ก็เกาะฮ่องกง เกาะสิงคโปร์ มีอะไรเขาจึงทำให้เป็นเมืองสวรรค์ได้ เรามีที่ตั้งเยอะแยะ ต้นไม้ก็จริง อาหารก็จริง น้ำธรรมชาติก็จริง ทำไมเราจะเอาชนะไม่ได้ ใครสนใจไปนอนกุงแกงรีสอร์ตลองโทร.ไปที่เบอร์053-064-450
ผมได้เจอกับอดีตผู้ว่าฯ ดิเรก ก้อนกลีบ ที่ปรึกษาของที่นี่ ท่านเคยเป็นผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน และอีกหลายๆ จังหวัด ท้ายสุดลาออกจากผู้ว่าฯ ลำพูน มาสมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกแต่พลาด ผมกับท่านผู้ว่าฯ เคยนั่งสนทนาการเมืองกันมาก่อน แต่ท่านอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด เพราะท่านก็ถือว่าท่านเก่งของท่าน จะมาฟังนักข่าวกระจอกๆ ได้อย่างไร ผมเรียนกับท่านไปคราวนี้ว่าอย่าได้ลงเล่นการเมืองอีก ท่านว่าท่านไม่ได้ลงเล่นการเมือง แต่ท่านลงเล่น“การบ้าน”คือพยายามที่จะเอาสิ่งที่ท่านมีศักยภาพไปทำ โดยใช้“การเมือง”เป็นตัวหมุน เพราะท่านเห็นว่าความเป็นข้าราชการประจำนั้น“ตอบฝัน”ให้ท่านไม่ได้ หรือได้ก็ได้น้อยกว่าการเมือง แถมข้าราชการประจำยังสั่นไหวกับเส้นสาย การโยกย้ายที่เป็นไปตามแรงการเมืองอีกต่างหาก
ผมรู้เรื่องนี้ดี แม้ชีวิตไม่ได้อยู่ในวงราชการแต่ก็เห็นตัวอย่างมามาก การเมืองสามารถตอบฝันให้การพัฒนาได้ก็จริง เพราะพรรคการเมืองย่อมใช้นโยบายสร้างชาติ แต่การเมืองก็มีการเมือง2ชนิดที่มีสรรพคุณที่แตกต่าง การเมืองแรกคือการเมืองแบบเผด็จการ การเมืองที่สองคือ การเมืองแบบประชาธิปไตย ท่านผู้ว่าฯ ดิเรกท่านไม่เข้าใจว่าการเมืองไทยเป็นการเมืองแบบเผด็จการ คิดว่าเป็นการเมืองแบบประชาธิปไตยที่ท่านสามารถทำนโยบายมาทอฝันท่านได้ ซึ่งผิดถนัด ไม่มีใครสามารถออกนโยบายดีๆ ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับ“นายทุนพรรค”ไม่ว่าจะเป็นพรรคเหลืองหรือพรรคแดง เพราะเป็นพรรคของคนส่วนน้อย ยิ่งในวันนี้ประเทศไทยตกอยู่ใน“สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง”ด้วยแล้ว คนดีไม่ว่าจะหน้าผ่อง ใจผ่องขนาดไหน เข้าไปในข้องปลาเน่าไม่ว่าจะเป็น สส. หรือวุฒิก็ตาม ในสายตาประชาชนแล้ว“เน่าดำเหมือนกันหมด”วิชาการเมืองบอกเอาไว้เช่นนั้น วิชาการเมืองไม่ใช่วิชา“ประวัติศาสตร์รัฐศาสตร์”ที่ร่ำเรียนกันอยู่ในมหาวิทยาลัยหรอกครับ มันเป็นวิชาที่ว่าด้วยยุทธศาสตร์ต่างหาก
งานเลียนแบบพืชสวนโลกเป็นที่ที่เราไปต่อในวันต่อมา ผมจะไม่เขียนถึงงานนี้ เพราะมีคนเขียนกันมากจนน่าเบื่อ บางทีการรู้อะไรมากก็ทำให้เขียนไม่ออก ที่สำคัญคือ ไม่อยากไปแย่งใครต่อใครหายใจ ดังนั้น“น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน”จึงเป็นที่หมายสุดท้ายของทริปที่จะพูดถึง แจ้ซ้อนถ่ายรูปได้สวยไม่แพ้ที่ไหน เพราะไอน้ำพุร้อนที่อ้อยอิ่งขึ้นมาขวางตะวันที่ย้อยลงมาจากยอดไม้ในเวลาแดดอ่อน ให้มิติธรรมชาติที่ดีมาก ช่างภาพหลายคนปักหลักอยู่บนก้อนหินที่เขาคิดว่าเป็นก้อนที่ดีที่สุดของการถ่ายภาพ ผมมาใหม่ก็จริง แต่ก็มีอุปกรณ์ที่แตกต่าง จึงไม่จำเป็นจะต้องไปยืนถ่ายภาพตรงจุดนั้นก็ได้ภาพสวยเช่นกัน การรู้จักเล่นไวต์บาลานซ์ การรู้จักจังหวะภายใต้การคอมโพสิชันภาพที่ดี ภายใต้มุมมองที่แตกต่าง ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ได้ภาพสวยได้เหมือนกัน
ถ้าเราสามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ได้ ควบคุมทิศทางของแสงได้ ภาพนั้นย่อมสวยด้วยมือเรามากกว่าสวยด้วยการแต่งจากคอมพิวเตอร์
จบเอาดื้อๆ ได้ไหมครับ!