‘ยาหยา’ บุษบาฮาวาย-ดอกไม้ป่าริมหาด

09 มีนาคม 2555

แม้ดอกไม้ป่าชนิดนี้จะไม่เป็นที่รู้จักกันดีในวงการค้าไม้ดอกในเมืองไทย

โดย... ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม

แม้ดอกไม้ป่าชนิดนี้จะไม่เป็นที่รู้จักกันดีในวงการค้าไม้ดอกในเมืองไทย แต่ในสายตาของผู้เขียน เราประทับใจในความสวยงามตามธรรมชาติ ความเรียบง่าย แต่โดดเด่นที่สีสันและความทรหดอดทน โดยไม่ต้องมีผู้ใดมาคอยดูแลเอาใจใส่ เราลองตามไปดูบุษบาฮาวายที่ชายทะเลในอ่าวมะนาว จ.ประจวบคีรีขันธ์ กันดีกว่า

พื้นที่ชายทะเลริมหาดอันเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน แม้จะเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ในเขต อ.เมือง จ.ประจวบฯ ทำให้เราแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ผู้คนไปคลาคล่ำกันอยู่ที่ อ.หัวหิน เป็นส่วนใหญ่ ทั้งที่หาดประจวบฯ มีทั้งความกว้างใหญ่ สะอาดสะอ้าน และตัวอย่างเปิดโล่งรับลมทะเลที่พัดเข้ามาไม่ขาดสาย ทิวเขาตาม่องล่าย เขาล้อมหมวก เขาช่องกระจก อ่าวมะนาวแวดล้อมไปด้วยเกาะและเขาหินปูนรูปร่างต่างๆ ทำให้ภาพท้องทะเลประจวบฯ ดูสวยงามมีเสน่ห์ต่างจากชายทะเลในจังหวัดอื่นที่เห็นมา

พื้นที่ริมหาดประจวบฯ เป็นที่อยู่ของไม้ดอกชนิดหนึ่ง ซึ่งแพร่กระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ ไม่แพ้ต้นต้อยติ่งดอกสีม่วงซึ่งรู้จักกันดี ไม้ดอกซึ่งมีผู้ตั้งชื่อเป็นไทยอย่างเก๋ไก๋และเหมาะสมว่า บุษบาฮาวาย นั้นมีชื่อทางพฤกษศาสตร์เป็นละตินว่า เอซิสเตเซีย แกนเกติกา (Asystasia Gangetica) จัดอยู่ในวงศ์ Acanthaceae เช่นเดียวกับไม้ดอกอื่นๆ ในวงศ์เดียวกัน อย่างไรก็ตามคนกรุงเทพฯ สมัยใหม่มักเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า “บุษบาริมทาง” ทั้งๆ ที่ชื่อเดิมของคนกรุงเทพฯ ตั้งให้แล้วว่าบุษบาฮาวาย หรือยาหยา (บาหยา) ส่วนชื่อสามัญภาษาอังกฤษนั้นรู้จักกันในนาม Chinese Violet, Creeping Foxglove ส่วนชาวแอฟริกาใต้เรียกชื่อไม้ดอกชนิดนี้อย่างเหมาะสมว่า เอซิสเตเซีย (Asystasia) ตามชื่อสกุลของเธอนั่นเอง

‘ยาหยา’ บุษบาฮาวาย-ดอกไม้ป่าริมหาด

 

ไม้ดอกชนิดนี้นับเป็นพืชจำพวกไม้ล้มลุกที่เป็นไม้คลุมดิน แต่หากพบในที่เปิดโล่งและมีหน้าดินสมบูรณ์พอจะแตกใหญ่ชูลำต้นสูงได้กว่าครึ่งเมตรหรือกว่าเมตร ก็ปรากฏอยู่ตามแนวรั้วหรือพาดต้นไม้ใหญ่ริมทาง บุษบาฮาวายมีใบเดี่ยวเรียงตัวแบบตรงกันข้าม ผลติดเป็นแบบแคปซูลเป็นฝักสีเขียว หากแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แตกกระจายปล่อยเมล็ดปลิวไปตามสายลม

บุษบาฮาวายแยกออกเป็นชนิดย่อยได้ คือ A.gangetica Gangetica มีดอกขนาดใหญ่ ยาว 3-4 ซม. สีม่วง-น้ำเงิน แต่อีกชนิดย่อยคือ Asystasia Gangetica Micrantha มีดอกเล็กกว่า ดอกยาว 2.5 ซม. ดอกมีกลีบสีขาว แต่แต้มสีม่วงเข้มบริเวณปากล่าง ดูเก๋ไปอีกแบบ สำหรับเมืองไทยมีอีกชนิด คือ \ เรียกกันว่า “เพ็ญทิวา” อีกชนิดคือ A.salicifolia เรียกกันว่า “คอกม้าแตก” พบในเขต จ.เชียงใหม่ แต่ตามตัวอย่างพืชต้นแบบ ซึ่งหมอคาร์ (A.F.C.Kerr) เก็บได้ที่ จ.ชุมพร ตั้งแต่ปี 1927 หรือ 85 ปีมาแล้ว จำแนกไว้ว่าเป็นพันธุ์ Var.Parviflora

บุษบาฮาวายแพร่กระจายออกไปในเอเชียเขตร้อน และถูกนำเข้าไปในอเมริกาเขตร้อนรวมทั้งฮาวาย ซึ่งกลายเป็นพืชท้องถิ่นไป ส่วนชนิดย่อยทั้งสองถูกนำเข้าไปในออสเตรเลีย และกระจายพันธุ์ไปอย่างกว้างขวางจนกลายเป็นพืชที่ต้องเฝ้าระวังของประเทศ (National Environmental Alert List) ไป โดยหากมีผู้พบเห็นจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบ และยังไม่มีผู้ใดทราบที่มาที่ไปของบุษบาฮาวายชนิดย่อยเหล่านี้เลย แต่เป็นไปได้ที่ A.gangetica Gangetica จะจำกัดตัวอยู่ในทวีปเอเชียและ A.g.micrantha จะเกิดอยู่ในแอฟริกา

บุษบาฮาวาย แม้เป็นดอกไม้น่ารักมากกว่าน่ากิน แต่กระนั้นคนแอฟริกันบางประเทศก็เด็ดใบ ยอดอ่อนมาต้มกินเป็นผัก และใช้ตำเป็นยาสมุนไพรในสูตรยาสมุนไพรพื้นเมือง เช่น ประเทศไนจีเรีย ใช้บรรเทาอาการหอบหืดนอกเหนือจากปลูกเป็นแปลงไม้ดอกที่สวยงามชนิดหนึ่ง

ที่สำคัญที่สุดในสายตาและความเห็นของผู้เขียน “ยาหยา” หรือบุษบาฮาวาย เป็นไม้ดอกที่มีระบบรากลึก เพราะเธอพยายามปรับตัวเองให้หาน้ำและธาตุอาหารจากพื้นทรายที่แห้งแล้ง ดังนั้นจึงเป็นตัวช่วยยึดพื้นทรายให้รอดจากการชะล้างพังทลายเพราะแรงลมและสายฝน

บุษบาฮาวายเป็นพืชที่บรรดาผึ้งชนิดต่างๆ สนใจบินมาแต่เช้ามืดเพื่อดูดกินน้ำต้อยจากดอกของมัน แม้แต่ผีเสื้อก็มากันเป็นฝูง รวมทั้งแมลงอื่นๆ อีกบางชนิดที่เราไม่รู้จัก แต่มีรายงานจากแอฟริกาว่ามีผีเสื้ออยู่ 6 ชนิด ที่ใช้น้ำต้อยจากยาหยาในการเลี้ยงตัวอ่อน (หนอนผีเสื้อซึ่งเพิ่งฟักออกจากไข่)

นักอนุรักษ์ฮาวายเอียนบางคนไม่ชอบยาหยานัก เพราะพวกเขาขนานนามพวกเธอว่าเป็น นังวัชพืชตัวร้าย เพราะไปแย่งเนื้อที่พืชท้องถิ่นดั้งเดิมของฮาวาย แถมยังได้ชื่อน่ารักว่า “บุษบาฮาวาย” ดังที่คนกรุงเทพฯ เรียกกันทุกวันนี้

Thailand Web Stat