มะรุม มารุมรัก
มะรุม มารุมรักใครจะไปคิดว่าต้นไม้ริมทางที่นิยมปลูกข้างบ้านข้างรั้ว ข้างครัว จะกลายเป็นต้นไม้เนื้อหอมที่ใครๆต่างก็มารุมรักและเทใจให้
โดย...องค์ชายห้า
ใครจะไปคิดว่าต้นไม้ริมทางที่นิยมปลูกข้างบ้านข้างรั้ว ข้างครัว จะกลายเป็นต้นไม้เนื้อหอมที่ใครๆต่างก็มารุมรักและเทใจให้ ถึงขนาดปลูกกันเป็นไร่ๆหลังจากมีการยืนยันจากวงการแพทย์ว่า “มะรุม” นั้นมีสรรพคุณอเนกอนันต์ชนิดที่คาดไม่ถึง สมกับที่ได้ฉายาว่าเป็นพืชมหัศจรรย์จริงๆ เชียวครับ
“นั่นคือฝักมะรุม” คุณแม่เสียงใสที่กำลังง่วนกับการโขลกพริกเครื่องแกงส้ม หันมาอธิบายหลังจากเห็นหน้าลูกๆ ที่เต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่มะรุมมะตุ้มกับการปอกฝักมะรุมเพื่อแกงส้ม
บอกตรงๆ ว่า ขณะปอกเปลือกเจ้าฝักที่ไม่คุ้นเคยไป ก็แอบคิดอยู่ในใจว่าแม่เอาอะไรมาให้ปอก มันจะกินได้เหรอ แล้วมันจะอร่อยสู้ผักบุ้งหรือผักรวมได้เหรอ กว่าจะได้แต่ละฝักก็ยุ่งยากเอาการอยู่
“มันอร่อยแน่ และทั้งดอกมะรุม ใบอ่อนของมะรุม ก็เอามาทำกับข้าวได้หมด” แหม...สมเป็นคุณแม่ผู้หยั่งรู้ (ใจลูก) จริงๆ นี่ขนาดยังไม่ทันเอ่ยถามสักคำเลยนะครับเนี่ย อิอิ
ด้วยแกงส้มมะรุมรสมือแม่ ซึ่งเป็นของแปลกใหม่ เลยทำให้วันนั้นกลายเป็นมื้อที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอคอย ทันทีที่หม้อแกงส้มเปิดพร้อมเสิร์ฟ ส่งกลิ่นหอมฉุยยวนยั่วที่สุด พวกที่ตั้งตารอต่างก็ร้องเสียงเดียวกันว่า “น่ากินจริงๆ เลยแม่” สมัยนี้ก็ต้องออกเสียงอ้อนๆ หน่อย “แม่ฮะน่ากินอ่ะ” ทันทีที่ได้กินมะรุม เออ...มันอร่อยดังคำแม่บอกจริงๆ ด้วย และสัมผัสได้ถึงความอร่อยที่แตกต่างอีกต่างหาก
เมล็ดมันรสชาติออกมันๆ เนื้อข้างในฝักเวลาแทะกินยิ่งอร่อย อาจเป็นเพราะมันเป็นส่วนที่ซึมซับรสชาติของแกงส้มเอาไว้แบบเต็มๆ แถมยังได้เพลิดเพลินกับการแทะฝักมะรุม จนโดนเอ็ดว่าข้าวในจานไม่พร่องเลยนะ “ก็มันอร่อยดีนี่ครับแม่” อิอิ
นั่นแหละเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักและหลงรักมะรุม แม่บอกคนกรุงเทพฯ เขาใส่กุ้งสดแทนปลา แต่แม่ว่าจะใส่ปลา ใส่กุ้ง ถ้าเป็นมะรุมก็อร่อยไม่แพ้กันนั่นแหละ
ผมเคยมีโอกาสกินแกงมะรุมในกรุงเทพฯ ไม่กี่หนหรอก แต่ไม่สะใจเท่ากับแกงส้มของแม่ เพราะส่วนใหญ่จะแกะเมล็ดมาเพื่อให้กินได้ง่ายขึ้น แต่ผมว่ามันขาดอรรถรสการกินไป
มีแกงมะรุมที่อร่อยอยู่ร้านหนึ่ง คือร้านบ้านขนิษฐา และที่ร้านในเครือเคอร์รีส์ แอนด์ มอร์ บาย บ้านขนิษฐา อยู่ซอยสุขุมวิท 53 ทั้งสองร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารไทยรสชาติดั้งเดิมมาช้านานอยู่แล้ว
สำหรับแกงมะรุมของที่นี่เขาจะพิเศษตรงที่นอกจากจะใส่กุ้งสดตัวโตๆ แล้ว ยังใส่กระดูกหมูด้วย รสชาติเข้มข้นสมใจทีเดียว แต่น่าเสียดายที่เขาแกะเมล็ดมาให้เสร็จสรรพ แต่มานึกอีกทีก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้ามานั่งแทะฝักมะรุมคงดูไม่งามเท่าไหร่ เหอะๆ
มะรุมไม่ได้มีไว้แค่แกงส้ม บรรดาแม่ครัวหัวใสยังจับเอามะรุมมาทำห่อหมกแทนโหระพาและกะหล่ำปลี ส่วนดอกก็นำมาชุบไข่แทนชะอมกินกับน้ำพริกกะปิปลาทู โอโห้!!! อร่อยโครตตตตอ่ะ!
แล้วใครจะเชื่อว่ามะรุมยังทำไอศกรีมได้อีกแน่ะ เสียดายที่ยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง เลยไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร แล้วเขาใช้ส่วนไหนของมะรุมมาทำกัน นอกจากนี้ ยังเอาใบผัดกับน้ำมันหอยก็อร่อยเด็ด และว่ากันว่าน้ำมะรุมก็อร่อยและดีต่อสุขภาพไม่แพ้น้ำผลไม้ชนิดอื่นๆ กันเลยทีเดียว
อันที่จริงมะรุมนั้นไม่ใช่ของแปลกใหม่ แต่เป็นพืชที่ถือกำเนิดมาช้านานแล้วล่ะ เริ่มต้นในประเทศแถบเอเชีย อย่าง อินเดีย ศรีลังกา และเป็นต้นไม้ที่ปลูกคู่บ้านเรามาแต่โบราณแล้วเหมือนกัน ยังพบได้ทุกภาคแต่มีชื่อเรียกขานต่างกันไป ภาคกลางเรียกมะรุม ส่วนภาคเหนือเรียกว่า “ผักมะค้อนก้อม” ทางภาคอีสานเรียกว่า “ผักอีฮุม” บ้างก็เรียก “ผักเนื้อไก่”
มะรุมนั้นยังเป็นพืชที่ปลูกง่ายและเจริญเติบโตได้ดีกับดินทุกชนิด และก็กินได้ทุกส่วนและทุกฤดู ยามหน้าหนาวฝักจะออกชุกหน่อย แต่ยามแล้งก็จะแตกยอดออกดอกมาให้ได้เก็บกินกันอีกเพียบ
นอกจากความอร่อย จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยยังพบว่ามะรุมนั้นเป็นพืชที่มีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายชนิดที่คาดไม่ถึงทีเดียว
ว่ากันว่ามีวิตามินเอบำรุงสายตามากกว่าแครอตถึง 3 เท่า มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 7 เท่า มีแคลเซียมมากกว่านมถึง 3 เท่า และมีโพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วยเชียวนา
ขนาดในคัมภีร์ไบเบิลยังกล่าวไว้ว่ามะรุมเป็นพืชที่สามารถรักษาทุกโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคลำไส้อักเสบ โรคปอดอักเสบ ฆ่าจุลินทรีย์ หรือเป็นยาปฏิชีวนะ และแต่ละส่วนของต้นมะรุมยังมีคุณสมบัติเฉพาะที่สามารถใช้เป็นยาได้ไม่ซ้ำกันอีกต่างหาก เอาซี้!!!
น่าเสียดายที่ค่อนข้างหาซื้อฝักมะรุมได้ยากสักหน่อย วันไหนนึกอยากจะกินขึ้นมาก็ลองไปเดินหาซื้อได้ตามตลาดสด ผมเคยเห็นแถวตลาดเทเวศร์ ตลาดสดเมืองนนท์เขามีวางขายกันอยู่ คิดว่าตลาดสดที่ขายผักสดพื้นบ้านก็น่าจะพอมีขายอยู่นะ
ทางที่ดีปลูกไว้สักต้นสองต้น ไม่นานก็ได้กินแล้ว ไม่ต้องไปเดินหาให้เมื่อยตุ้ม ยิ่งตอนนี้ชื่อเสียงมะรุมนั้นออกจะดัง ราคาก็ย่อมแพงตามไปด้วยนะเออ