posttoday

สาม

05 พฤษภาคม 2555

เมื่อผู้หญิงสามคนอยากเที่ยวต่างประเทศ พวกเธอต้องทำอย่างไร

โดย...กาญจน์ อายุ

เมื่อผู้หญิงสามคนอยากเที่ยวต่างประเทศ พวกเธอต้องทำอย่างไร

ระดมสมอง

เมื่อความฝันของทั้งสามมารวมกันมันไม่ใหญ่เท่ายุโรป แต่มันใหญ่มากพอให้ถึงประเทศเพื่อนบ้าน “เวียดนาม” เธอ เธอ และเธอฟันธงแล้วว่าจะโกอินเตอร์สู่ฮานอยซิตีบนเส้นทางเดินดิน

การเดินทางไปฮานอยด้วยรถยนต์ของทั้งสามนางเริ่มจากกรุงเทพฯหนองคายเวียงจันทน์ฮานอย ทั้งไปและกลับเป็นเส้นทางเดียวกัน โดยจะใช้ระยะเวลาการเที่ยวทั้งสิ้น 7 วัน ไม่ขาดและห้ามเกิน

เตรียมตัว

เมื่อกำหนดวัน เวลา และเส้นทางไว้แล้วก็ถึงเวลาเสียเงินจองรถทัวร์จากกรุงเทพฯหนองคาย และหนองคายกรุงเทพฯ โดยมีบริษัทให้เลือกใช้หลายเจ้า เช่น รุ่งประเสริฐทัวร์ ชาญทัวร์ บุษราคัมทัวร์ หรือขนส่ง 999 มีราคาตั้งแต่ 400-700 บาท

อีกหนึ่งการเตรียมตัวคือ การแลกเงิน คุณต้องแลกเงินดองของเวียดนามและเงินเหรียญสหรัฐเอาไว้ (เงินกีบมักไม่มีให้แลกตามร้านแลกเงิน) เงินเหรียญสหรัฐจะเป็นประโยชน์ต่อคุณในการแลกเป็นสกุลต่างๆ เพราะจะได้ราคาดีกว่าเงินไทย การคำนวณเงินจากกีบเป็นเงินไทย ให้นำเงินกีบหารด้วย 250 และการคำนวณเงินดองเป็นเงินไทย ให้นำเงินดองหารด้วย 650 ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวเป็นอัตราประมาณ มันจะขึ้นลงตามอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงนั้น

เมื่อตั๋วพร้อม เงินพร้อม ใจก็ต้องพร้อม คุณต้องทราบก่อนว่าเวียงจันทน์และฮานอยยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้นสภาพบ้านเมืองจะไม่สะดวกสบาย คนในประเทศสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้น้อย แต่เพราะปัจจัยนี้ทำให้ค่าครองชีพไม่สูงพอๆ กับในประเทศไทย ทำให้ประมาณค่าใช้จ่ายในการกิน เที่ยว และช็อปได้ ส่วนเรื่องเอกสารมีสิ่งต้องพึงทราบเพียงอย่างเดียวคือ พาสปอร์ตต้องมีอายุอย่างต่ำ 6 เดือน

สาม

 

เดินทาง

ถ้าจองตั๋วและโอนเงินค่ารถไปแล้วต้องไปก่อนเวลารถออกอย่างต่ำ 1 ชั่วโมงเพื่อไปรับตั๋ว และต้องไปที่รถซึ่งอยู่ที่ชานชาลาก่อนเวลาออก 15 นาที เพราะเมื่อถึงเวลาออกล้อจะหมุนทันที โดยรถจะออกจากหมอชิตใหม่กรุงเทพฯ มุ่งตรงสู่ บ.ข.ส.หนองคาย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง

เมื่อถึง จ.หนองคาย แล้วคุณต้องไปซื้อตั๋วรถระหว่างประเทศหนองคาย-เวียงจันทน์ ใน บ.ข.ส.นั้น รอบรถมีทั้งสิ้น 6 รอบ ได้แก่ รอบเวลา 07.30, 09.30, 12.40, 14.30, 15.30 และ 18.00 น. ราคาตั๋ว 55 บาท วันหยุดราชการต้องจ่ายเพิ่ม 5 บาท โดยคุณต้องไปต่อคิวก่อนเวลารถออกประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งบุคคลที่อยู่ในแถวส่วนมากจะเป็นคนลาวและคนลาวส่วนใหญ่จะไม่ต่อคิว ดังนั้นวิธีป้องกันคือคุณต้องยืนชิดคนหน้าให้มากที่สุด ถ้ามีคนแทรกคุณต้องพูดทันที (พูดภาษาไทยได้ คนลาวรู้เรื่อง) ถ้าเขาไม่รู้เรื่องอีกคุณก็เดินไปแทรกหน้าเขาเลย

การแทรกหรือการแซงคิวถือว่าเป็นเรื่องปกติของคนลาวจะไม่มีใครโกรธกัน ถ้าเกิดการแซงคิว เพราะทุกคนล้วนเคยทำทั้งสิ้น

เมื่อได้ตั๋วรถหนองคายเวียงจันทน์แล้ว ใครที่มีสัมภาระขนาดใหญ่ต้องโหลดไว้ใต้รถ เพราะด้านบนจะไม่มีช่องเก็บและระหว่างที่นั่งก็ค่อนข้างแคบ รถคันนี้ใช้เวลาเดินทางไปเวียงจันทน์ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยคุณต้องลงไปทำเรื่องผ่านแดนที่ด่านไทยและด่านลาวด้วยตัวเอง การดำเนินการไม่ยากเพียงแค่คุณกรอกข้อมูลในใบผ่านแดนแนบพร้อมพาสปอร์ตที่มีอายุเกิน 6 เดือน ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีก็เรียบร้อย ค่าใช้จ่ายในการผ่านแดนด่านไทยและลาวไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่หากผ่าน ตม.ลาวในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ต้องเสียค่าธรรมเนียม 1.7 หมื่นกีบ หรือ 68 บาท สามารถจ่ายเป็นเงินไทยได้ และคุณสามารถแลกเงินไทยเป็นเงินกีบได้ที่ร้านแลกเงินที่ ตม.ลาวได้เลย

ก้าวแรกเมื่อเหยียบเวียงจันทน์สิ่งแรกที่เห็นคือ เหล่าคนขับรถตุ๊กตุ๊ก หรือสกายแล็บจะเข้ามารุมคุณด้วยภาษาไทย ถามว่าจะไปไหนพร้อมโน้มตัวมาที่กระเป๋าของคุณ คุณจะต้องอาศัยความรวดเร็วหยิบกระเป๋าของตัวเอง และเดินออกจากกลุ่มคนเหล่านั้นมาที่ป้ายรถประจำทางสาย 29 เพื่อขึ้นรถไปซื้อตั๋วเวียงจันทน์ฮานอย

สาม

 

ค่ารถประจำทางในเวียงจันทน์ราคา 3,000 กีบ หรือ 12 บาทตลอดสาย รถจะไปจอดด้านในสถานีรถ คุณต้องเดินไปซื้อตั๋วด้านในกับบริษัทที่ให้บริการรถนอนเวียงจันทน์ฮานอย ค่าตั๋ว 25 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 750 บาท โดยคุณต้องขอดูสภาพรถ ถามเวลาขึ้นรถ และสถานที่ขึ้นรถให้ชัดเจน

รถนอนส่วนใหญ่จะมีสภาพไม่ต่างกันคือ เป็นรถทัวร์สองชั้นที่ดัดแปลงให้เหลือชั้นเดียว ภายในจะมีเบาะนอนสามแถว แต่ละแถวมีสองชั้น เบาะสามารถปรับให้เอนนอนหรือตั้งขึ้นนั่งได้ ด้านหน้าของแต่ละเบาะจะมีที่ให้วางของเล็กๆ ด้านข้างเป็นที่กั้นไม่ให้กลิ้ง ตำแหน่งที่อยากแนะนำคือ ชั้นบนริมหน้าต่าง เพราะถ้าคุณนอนด้านล่างคุณอาจต้องนอนเกยไหล่กับคนแปลกหน้าที่ซื้อเตียงเสริมบริเวณทางเดิน และที่สำคัญการนั่งรถข้ามประเทศ 25 ชั่วโมง ต้องอาศัยวิวข้างทางเป็นตัวฆ่าเวลา

คุณฟังไม่ผิดจากเวียงจันทน์ไปฮานอยต้องใช้เวลาบนรถ 25 ชั่วโมง รถจะออกจากเวียงจันทน์เวลา 19.30 น. โดยจะแวะให้เข้าห้องน้ำและรับประทานอาหาร 12 ครั้ง แล้วแต่บริษัทรถ และคุณจะต้องลงรถมาดำเนินการทำเรื่องผ่านแดนที่ ตม.ลาว และเวียดนามเองอีกครั้ง ซึ่งอาจจะยุ่งยากมากกว่าเพราะคนเวียดนามส่วนใหญ่ไม่ต่อคิว (อีกแล้ว) ภาพคนมะรุมมะตุ้มยื่นเอกสารเป็นเรื่องปกติ และเสียงโหวกเหวกในบทสนทนาก็จะชินหูไปเอง

ระหว่าง ตม.ลาว และเวียดนาม คุณจำเป็นต้องเดิน 1 กิโลเมตร ไปตามทางถนนระยะทางดูเหมือนไกล แต่ถ้าเดินจริงๆ จะรู้สึกใกล้ เพราะธรรมชาติข้างทางที่แตกต่างจากเมืองไทยทำให้ความตื่นตาตื่นใจลดระยะทาง ที่ ตม.เวียดนามต้องเสียค่าธรรมเนียมผ่านแดนคนละ 2 หมื่นดอง หรือประมาณ 30 บาท และทุกคนต้องนำสัมภาระใต้ท้องรถออกมาเอกซเรย์กระเป๋าทุกชิ้นด้วย

หลังจากได้ยืดเส้นยืดสายก็ถึงเวลากลับไปนั่งๆ นอนๆ บนรถต่อ โดยเส้นทางหลัง ตม.เวียดนามจะเป็นทางขึ้นลงเขาเรียกความเสียวได้ไม่น้อย แต่ดูท่าคนขับรถจะชำนาญทางและคนในรถก็ชินกับทาง ทุกคนจึงหลับปุ๋ยอย่างกับอยู่บนทางลาดยาง

สาม

 

ขึ้นรถทุ่มครึ่งถึงฮานอยสองทุ่มของอีกวัน ถือเป็นประสบการณ์บริหารบั้นท้ายที่ดีเยี่ยม โดยรถจะไปหยุดที่สถานีรถนึกงัม หรือ บ.ข.ส.บ้านเรา คุณควรเรียกแท็กซี่ไปที่พักโดยเลือกรถแท็กซี่สีบลอนด์ ไซส์รถแจ๊ส เพราะราคาเริ่มต้นจะถูกสุดอยู่ที่ 9,000 ดอง หรือประมาณ 14 บาท โดยรถแท็กซี่เวียดนามจะมีราคาเริ่มต้นต่างกันแล้วแต่ซีซีของรถ ถนนหนทางในฮานอยส่วนใหญ่จะเป็นถนนวันเวย์ ทำให้รถต้องอ้อมไปตามทาง คนต่างถิ่นจึงรู้สึกว่ารถแท็กซี่พาอ้อม แต่เพื่อความมั่นใจว่าคุณจะไม่ถูกโกงควรศึกษาเส้นทางไปที่พักให้ดี หรือประมาณระยะทาง หรือเวลาที่จะใช้ในการเดินทาง

คนที่สันทัดเกสต์เฮาส์ให้แท็กซี่พาไปย่านโอลด์ควอเตอร์ (Old Quarter) ไม่ไกลจากทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Hoan Kiem Lake) แถวนั้นคล้ายข้าวสารบ้านเรา มีเกสต์เฮาส์และห้องพักราคาถูกให้เลือกมากมาย ราคาคืนละ 10 เหรียญสหรัฐ หรือ 300 บาท แต่ถ้าใครอยากพักแบบหรูหราให้ไปแถวโอเปราเฮาส์ ที่นั่นจะล้อมรอบไปด้วยโรงแรมห้าดาวและสี่ดาวหลายแบรนด์ ข้อแนะนำสำหรับการเลือกห้องพักควรเลือกห้องที่ไม่ติดถนน เพราะเสียงแตรรถด้านนอกจะทะลุกระจกเข้ามาตลอดคืน

สิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางในฮานอยต้องมี “แผนที่” ซึ่งสามารถขอได้ตามโรงแรมที่พัก ในแผนที่จะบอกชื่อถนนทุกสายเป็นประโยชน์ต่อนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ให้เดินเที่ยวได้ง่าย และสะดวกต่อการขึ้นรถประจำทาง

ข้อควรรู้เกี่ยวกับประเทศเวียดนาม สิ่งแรกคือเนื้อหมาเป็นเนื้อราคาแพง ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะกินเนื้อหมาในร้านอาหารราคาถูก ข้อสอง เวลาข้ามถนนไม่ต้องรอสัญญาณไฟ หรือทางม้าลาย คุณสามารถข้ามได้ทุกเวลา เมื่อมีโอกาส หรือเมื่อมีช่องว่างระหว่างรถกับคุณมากพอไม่ให้เกิดอันตราย ข้อสาม จำนวนรถมอเตอร์ไซค์บนท้องถนนมีมหาศาล และทุกคันจะบีบแตรขอทางแทนการเปิดไฟเลี้ยว ดังนั้นคุณต้องระวังตัวจากรถมอเตอร์ไซค์ ส่วนเรื่องเสียงคุณจะชินกับมันเอง ข้อสี่ การต่อราคาเป็นเรื่องจำเป็น ถ้าคุณซื้อของตามร้านค้าต้องต่อราคาอย่างต่ำ 40% แต่ถ้าต่อราคาแล้วคุณไม่ซื้อ คุณจะถูกแม่ค้าพ้นคำด่าเป็นภาษาเวียดนามไล่หลังออกมา และข้อห้า หากมีข้อสงสัยเรื่องการเดินทางควรถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ในโรงแรม หรือตาม Tourist Information เพราะคุณจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องและสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้รู้เรื่อง (คนเวียดนามทั่วไปพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้)

สถานที่ท่องเที่ยวในฮานอยที่ป๊อปปูลาร์และอยู่ในโปรแกรมทัวร์เสมอคือ สุสานลุงโฮ พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ และทำเนียบประธานาธิบดี ในส่วนของสุสานท่านโฮจิมินห์จะเปิดให้เคารพเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น สุสานจำลองแบบมาจากสุสานของเลนินในกรุงมอสโกเมื่อปี 1973 ภายในบรรจุร่างท่านโฮจิมินห์ในโลงแก้วให้ประชาชนสักการะ

พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ตั้งอยู่ใกล้กับสุสาน ด้านในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และประวัติของท่านโฮจิมินห์ รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่รวบรวมเวียดนามให้เป็นหนึ่ง และด้านหลังของสุสานเป็นที่ตั้งของทำเนียบประธานาธิบดี เป็นอาคารสีเหลืองในสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสสร้างขึ้นในปี 1901 ปัจจุบันเป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมือง แต่โดยทั่วไปทำเนียบจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมด้วย ในช่วงฤดูร้อนเปิด 07.30-11.00 น. และ 14.00-16.00 น. ช่วงฤดูหนาวเปิด 08.00-11.00 น. และ 13.30-16.30 น. ปิดทุกวันจันทร์และศุกร์ ค่าเข้า 3 หมื่นดอง หรือประมาณ 47 บาท

สาม

 

ต้องบอกก่อนว่าทุกๆ พิพิธภัณฑ์ในฮานอยจะปิดวันจันทร์และศุกร์โดยพร้อมเพรียงกัน ดังนั้นอย่าหลงวันไปให้เสียเวลา

โบสถ์ St.Joseph Cathedral เป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาด สถาปัตยกรรมเป็นแบบตะวันตก ไม่มีการทาสีใหม่ทำให้โบสถ์ดูขลังจากคราบน้ำฝน กระจกสีที่ประดิษฐ์เป็นรูปนักบุญเด่นสวยงามท่ามกลางความเก่า ด้านในโบสถ์เงียบสงัดและมีรูปปั้นนักบุญที่วิจิตรมาก ความสงบเคร่งขรึมด้านในเป็นเสียงที่ตรงข้ามกับบรรยากาศด้านนอก เพราะด้านหน้าโบสถ์จะเป็นที่รวมตัวกันของวัยรุ่นที่จะมานั่งดื่มน้ำชามะนาวและกินเมล็ดทานตะวัน

ทุกคนจะจับกลุ่มเล็กๆ นั่งเก้าอี้ทรงเตี้ย (เหมือนเก้าอี้นั่งซักผ้า) สนทนาและกินเมล็ดทานตะวันกันอย่างสนุกสนาน ในฮานอยเราจะเห็นกิจกรรมบนฟุตปาทหลายประเภทจนชินตาทั้งตีแบด กินข้าวแกง ตัดผม รวมถึงการนั่งจิบชานี้ด้วย

มหรสพที่โด่งดังมากในฮานอยคือ การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ หรือWater Puppetซึ่งจะแตกต่างจากการแสดงหุ่นกระบอกทั่วไปตรงที่แสดงกันบนผิวน้ำ เรื่องราวมีทั้งสิ้น 11 ตอน บอกเล่าวิถีชีวิตและความเชื่อของคนเวียดนาม โดยจะสอดแทรกมุขตลกเอาไว้ในการแสดงด้วย ถ้าถามคนที่ได้ดูครั้งแรกต้องบอกว่าสนุกและน่าสนใจดี แต่ถ้าถามคนเวียดนามเขาจะบอกว่า“เป็นการแสดงที่น่าเบื่อ”เรื่องนี้เป็นความคิดส่วนบุคคล แต่ถ้าใครอยากลองดูก็เข้าไปดูได้ไม่เสียหายอะไร เพราะอย่างน้อยก็เป็นรูปแบบมหรสพที่ในประเทศไทยไม่มี

การแสดงหนึ่งครั้งใช้เวลาประมาณ 40 นาที มีรอบแสดงทั้งวัน ค่าเข้าชมคนละ 6 หมื่นดอง หรือประมาณ 93 บาท ใครที่นำกล้องหรือกล้องวิดีโอเข้าไปต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม (แต่อยากกระซิบว่า จากการสังเกตแล้วไม่มีใครตรวจบัตรการใช้กล้องภายในโรงละครเลยสักคน)

อีกแห่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกันคือTemple of Literatureหรือวิหารวรรณกรรม มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม คุณจะเห็นสถาปัตยกรรมแบบเวียดนามผสมวัฒนธรรมจีนแบบขงจื๊อ และอาจโชคดีเจอนักศึกษาเวียดนามแต่งชุดอ่าวหญ่ายมาถ่ายรูปกันด้วย เพราะที่แห่งนี้เหมือนสัญลักษณ์ของการศึกษาและสัญลักษณ์ของเมืองฮานอย ด้านในมีการจารึกชื่อจองหงวนบนหลังเต่าไว้มากมาย และมีรูปปั้นท่านขงจื๊อและศิษย์คนสำคัญของขงจื๊อทั้งสี่ท่านให้เคารพบูชาด้วย

เมื่อถามคนเวียดนามว่าควรไปเที่ยวไหนดี เขาแนะนำให้ไปพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทหารเวียดนาม (Vietnam Military History Museum) ด้านในจะบอกเล่าประวัติศาสตร์การสร้างประเทศของเวียดนาม มีFlag Towerปืนใหญ่ กระสุนปืน เครื่องบิน และจรวดของจริง ด้วยความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่นำมาจัดโชว์ ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ดูพิเศษและน่าสนใจมากกว่าที่อื่น เปิดทำการเวลา 08.00-11.30 และ 13.00-16.30 น. ทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์และศุกร์ ค่าเข้าคนละ 3 หมื่นดอง หรือประมาณ 47 บาท

ถามคนเวียดนามต่อว่า กินที่ไหนดี เขาแนะนำให้ไปร้านQuan An NGonร้านอาหารสไตล์ฟู้ดคอร์ต แต่มีเด็กเสิร์ฟอาหารและไม่ต้องใช้คูปอง ในร้านขายอาหารเวียดนามราคาย่อมเยาแถมยังอร่อยถูกปากทั้งคนเวียดนามและนักท่องเที่ยว อีกร้านเป็นร้านขายไอศกรีมKem Trang Tienขายไอศกรีมนมกลิ่นวานิลลาใส่โคนเป็นของหวานยอดฮิต รสชาติอร่อย (มาก) ขายโคนละ 1 หมื่นดอง หรือ 16 บาท

การเที่ยวในฮานอยให้“ทั่ว”ใช้เวลาอย่างน้อย 2 คืน แต่ถ้าจะเที่ยวให้“ครบ”คงต้องใช้เวลาเป็นเดือน เพราะฮานอยเป็นเมืองหลวงที่มีทั้งประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวเกิดใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวที่ติดความสบายแต่อยากเห็นวิถีชีวิตท้องถิ่นในฮานอยมีให้เห็นครบ

สามสาวเหยียบแผ่นดินครบสามประเทศสมดั่งความตั้งใจที่อยากเที่ยวต่างประเทศ แม้ว่าจะออกจากไทยได้ไม่ไกล แต่ประสบการณ์ที่พวกเธอได้รับมันกว้างใหญ่กว่าเดิมมาก ฮานอยเป็นเมืองศิวิไลซ์ไม่แพ้กรุงเทพฯ การจราจรในกรุงเทพฯ วุ่นวายไม่แพ้ฮานอย อาหารฮานอยอร่อยไม่แพ้อาหารในกรุงเทพฯ และคนกรุงเทพฯ น่าจะไปเที่ยวฮานอย

ประโยคสุดท้ายคือ บทสรุปของทั้งสามสหายผู้กำลังคิดถึงความทรงจำดีๆ ขณะจ้องมองคนขอทานกิจกรรมบนฟุตปาทของประเทศไทย