พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต ขุนโจรผู้เป็นพระอริยบุคคล

17 มิถุนายน 2555

โดย...คุณสลิล

โดย...คุณสลิล

ผู้สนใจประวัติพ่อแม่ครูอาจารย์สายพระป่าและเคยศึกษา‌
ประวัติหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมหนึ่งในศิษย์เอกหลวงปู่มั่น
ภูริทัตโตอาจจะเคยผ่านตาว่า ท่านเคยอบรมสั่งสอนอดีตขุน‌
โจรผู้หนึ่งชื่อ“ขุนโจรอิสไมล์แอ”

หลวงปู่ตื้อสั่งสอนอบรมจนอดีตจุนโจรผู้นั้นปฏิบัติดีปฏิบัติ‌
ชอบบรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอริยบุคคล แต่เรื่องราวของพระ‌
อริยบุคคลท่านนี้ไม่ใคร่แพร่หลายมากนัก

เท่าที่ตรวจสอบพบว่า นานมาแล้วกองบรรณาธิการหนังสือ‌
พบโลกเคยสัมภาษณ์ท่านไว้ครั้งหนึ่ง ต่อมาศิษย์วัดป่าผาลาด ‌
ต.วังดัง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ท่านพำนัก
อยู่กระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ได้จัดทำหนังสือประวัติ
พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโตหรือ อดีต“ขุนโจร
อิสไมล์แอ”ขึ้นเผยแผ่เมื่อปี พ.ศ. 2551 แต่ก็อยู่ในวงจำกัด
และเป็นหนังสือหายาก ต่อมาศิษย์วัดป่าผาลาด จึงได้คัดลอก‌
และเรียบเรียง ปรับปรุงเนื้อหาดังกล่าวมานำเสนอทางBlog‌
อีก แต่ก็ยังไม่แพร่หลายมากนัก

กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์จึงได้ติดต่อขอ‌
อนุญาตทางวัดนำเนื้อหาดังกล่าวมาเผยแผ่ แบบมิได้เรียบเรียง‌
ใหม่ โดยมุ่งหวังให้เรื่องราวนี้ได้เป็นที่รู้จักโดยทั่วกัน จะได้เป็น‌
ความรู้ เป็นกำลังใจและก่อให้เกิดสติ ปัญญาแก่สาธุชนผู้สนใจ ‌
ซึ่งทางวัดได้อนุญาตเรียบร้อยแล้ว“คาบใบลานผ่านลานพระ”‌
จะนำเสนอเนื้อหานี้อย่างละเอียดต่อเนื่องจนจบความ ซึ่งน่าจะ‌
กินเวลา 2-3 สัปดาห์ ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้...

ชีวิตก่อนบวช

ก่อนบวชท่านมีชื่อว่านายประยุทธ สุวรรณศรี

เกิด ปี 2471 ปีมะโรง เดือน 5 วันเสาร์

มีพี่น้องรวมกัน 5 คน ท่านเป็นคนที่ 3 โดยมีพี่ชาย 1 พี่‌
สาว 1 และน้องสาว 2 คน คือคุณประภาและคุณพะเยาว์

บ้านเกิด จ.เพชรบุรี แต่ไปเติบโตที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ‌
เพราะทั้งครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น ครอบครัวท่านมีฐานะดี‌
พอควร

ท่านเล่าว่าชะตาของท่านต้องฆ่าคนโดยไม่เจตนาเมื่ออายุ ‌
11 ปี คือ ขว้างมีดเล่นๆ ไปถูกชายคนหนึ่งเข้าที่สำคัญทำให้‌
ชายผู้นั้นถึงแก่ความตาย แต่เนื่องจากยังเด็กจึงไม่ถูกลงทัณฑ์ ‌
เมื่ออายุครบบวชพ่อก็มาเสีย แม่จึงจัดให้บวชตามประเพณีที่วัด‌
กลางเมืองหัวหิน

สันนิษฐานว่าเป็นวัดอัมพาราม บวชได้ 1 พรรษาก็สึก นับ‌
เป็นการบวชครั้งแรกในคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย

หลังจากสึกท่านก็ไปทำมาหากินทางใต้ เร่ร่อนไปหลายที่ ที่‌
ไหนหาเงินได้มากก็อยู่นานหน่อย เคยเป็นกัปตันเรือตังเกหา‌
ปลามีเพื่อนฝูงลูกน้องมากมาย และเคยไปลงทุนตั้งไนต์คลับที่‌
มาเลเซีย

จุดหักเหในชีวิต เกิดเมื่อพ่อค้าใหญ่ในกรุงเทพฯ จ้างให้ขน‌
ฝิ่นไปมาเลเซียในราคาเที่ยวละ 2,000 บาท และให้ไปรับเงินที่‌
ปลายทาง พอไปถึงคนที่ซื้อฝิ่นกลับกลายเป็นตำรวจ 2 คน‌
บอกว่า จะจ่ายเงินค่าฝิ่นให้ ท่านไม่รับเพราะถ้าขืนรับ คนที่จ้าง‌
ท่านเป็นพวกมีอิทธิพลคงไม่ไว้ใจท่านและท่านอาจโดนฆ่า แต่ที่‌
สำคัญเจ้าหน้าที่ 2 คนนั้นขู่ว่าถ้าไม่ตกลงตามราคาที่เสนอจะ‌
แจ้งให้ตำรวจมาเลเซียจับ ทำให้ท่านไม่มีทางเลือก จึงตัดสินใจ‌
ฆ่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองคน

ท่านเล่าว่าอุตส่าห์ควักไส้พุงมันออกเวลาไปทิ้งน้ำจะได้ไม่‌
ลอยขึ้นมา แต่เจ้ากรรมจริงๆ ศพลอยขึ้นมาข้างๆ เรือ ทำให้มี‌
คนเห็นและท่านถูกจับฐานสงสัยว่าเป็นฆาตกรแต่ไม่มีเรื่องค้า‌
ฝิ่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

ชีวิตเมื่อต้องโทษทัณฑ์

ท่านถูกขังคุกอยู่หลายเดือนที่มาเลเซียขึ้นศาลอยู่หลายครั้ง‌
เพราะหลักฐานไม่พอ แต่ศาลพยายามให้ท่านรับสารภาพให้ได้

การขึ้นศาลครั้งที่ 6 ในระหว่างที่ท่านรอการพิจารณาคดี มี‌
ชายอายุประมาณ 50-60 ปี แต่งตัวดี ผิวพรรณผ่องใสสะอาด ‌
เดินมาที่ศาล พยายามขอเข้าเยี่ยมและถามท่านว่าต้องคดีอะไร ‌
ท่านไม่ตอบกำลังเครียดเพราะคดีท่านถึงขั้นประหารชีวิต เลย‌
ลุกหนีไปนั่งที่อื่น ชายคนนั้นก็ตามไปถามอีก ท่านรำคาญเลย‌
บอกว่าคดีฆ่าคนตาย ชายคนนั้นบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ถึงตายหรือ‌
ติดคุก ลุงจะช่วย ท่านก็ถามกลับว่าจะช่วยยังไงดูแล้วไม่มีทาง‌
รอดเลย ลุงแกก็บอกว่า จำคาถานี้สั้นๆ ไปใช้แล้วให้ว่าคาถานี้‌
เวลาขึ้นศาลโดยให้เพ่งมองหน้าผู้พิพากษา แล้วจะพ้นคดี แต่‌
ห้ามบอกคาถานี้แก่ใคร

ตอนนั้นท่านพระอาจารย์ประยุทธไม่เชื่อเรื่องคาถาอาคม‌
แต่เมื่อจวนตัว ก็เลยลองท่องและจ้องมองไปที่ผู้พิพากษา

ศาลตัดสินปล่อยตัว รอดจากการประหารชีวิตอย่าง‌
ปาฏิหาริย์ แต่ท่านถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าประเทศมาเลเซียอีก

 (ท่านทราบภายหลังเมื่อบวชปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ว่าลุง‌
นั้นเป็นเทพ มาช่วยปกปักรักษาท่าน คงเห็นว่าท่านมีบารมีที่จะ‌
ได้เข้าถึงธรรมในชาตินี้และชาติต่อไป เลยมาช่วย)

ชีวิตเสรีไทย สงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อพ้นผิดท่านพระอาจารย์ประยุทธก็กลับมาในประเทศ‌
ไทยแถบภาคใต้เหมือนเดิม ขณะนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ‌
2 และรัฐบาลไทยต้องเข้าร่วมกับกองทัพญี่ปุ่นด้วยความจำเป็น‌
บังคับ ขณะนั้นม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชซึ่งเป็นเอกอัครราชทูต‌
ไทยประจำสหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น และรวบ‌
รวมคนไทยในสหรัฐและยุโรปตั้งเป็นคณะเสรีไทยทำงานใต้ดิน‌
เพื่อขัดขวางกองทัพญี่ปุ่นทุกวิถีทาง ท่านก็เข้าร่วมกับคณะเสรี‌
ไทยอยู่ในกลุ่มที่คอยตัดกำลังญี่ปุ่น เรียกว่า“กลุ่มไทยถีบ”

กลุ่มไทยถีบ คือ เมื่อญี่ปุ่นขนอาวุธยุทโธปกรณ์หรือเสบียง‌
อาหารไปให้กองทัพของตอนตามภาคต่างๆ ซึ่งต้องขนโดยใช้‌
ทางรถไฟ กลุ่มของท่านก็จะดักซุ่ม เพื่อถีบของเหล่านั้นลงจาก‌
รถไฟไม่ให้ไปถึงปลายทางได้

กำเนิด“ขุนโจรอิสไมล์แอ”

สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดได้ไม่นาน รัฐบาลประสบปัญหา‌
ต่างๆ รวมทั้งการลำเลียงเสบียงอาหารเพื่อไปส่งยังเรือนจำที่‌
เกาะตะรุเตา จ.สตูล ซึ่งตอนนั้นใช้ขังนักโทษการเมือง เนื่อง‌
จากความยากลำบาก และสิ้นเปลืองงบประมาณ บวกกับเรื่อง‌
ที่นักโทษหนีกันมาก รัฐบาลจึงสั่งให้ยุบเรือนจำนี้

ท่านเห็นโอกาสดีในการใช้เกาะตะรุเตาเป็นที่ซ่องสุมและ‌
พำนัก จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกประมาณ 200 คน เนื่อง‌
จากที่พำนักดีทำให้การปล้นเรือสินค้าและเสบียงทางเรือของ‌
กองทัพญี่ปุ่นทำได้สะดวก

ปล้นมาได้ท่านก็แบ่งแจกจ่ายให้ประชาชนที่กำลังอดอยาก‌
ตามชายฝั่ง อีกส่วนหนึ่งกระจายกันอยู่บนฝั่งเป็นหูเป็นตา และ‌
ส่งข่าวให้แก่หนังสือพิมพ์ให้นำเสนอข่าวพฤติกรรมของ‌
โจรสลัดทะเลหลวง ฉายา“ขุนโจรอิสไมล์แอ”ช่วงนั้นชื่อเสียง‌
ของโจรสลัดทะเลหลวงกลุ่มนี้โด่งดังมาก

ต่อมาเมื่อสงครามโลกสงบลง การปล้นของขุนโจร
อิสไมล์แอได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเป็นการปล้นเรือขนส่ง‌
สินค้าของผู้มีอิทธิผลทางการเมือง และทางราชการที่ขนข้าวไป‌
ขายให้มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ เพราะว่าช่วงนั้นประชาชน‌
ทางภาคใต้ปกติทำนาก็แทบจะไม่พอกิน ส่วนมากทำกินก็‌
เฉพาะในครัวเรือน บางพื้นที่ก็ทำไร่ตามดอนเขาซึ่งกินได้ไม่ถึง‌
ครึ่งปีด้วยซ้ำ จึงเห็นว่าการขนข้าวไปขายแทนที่จะช่วยเหลือ‌
ประชาชนที่อดอยากเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เมื่อปล้นสินค้ามาได้ก็‌
นำมาแจกจ่ายประชาชน ทำให้ผู้ส่งออกข้าวส่งคนมาเจรจาขอ‌
ร้องอย่าให้ทำการปล้นอีก คำตอบท่านก็คือ ถ้าจะให้เลิกปล้นก็‌
ต้องเลิกส่งข้าวออก ผู้ค้าข้าวก็ไม่ยอม เป็นอันว่าตกลงกันไม่ได้ ‌
ทางราชการจะไปปราบโจรก็ไม่ได้เพราะการยกกำลังไปเกาะ‌
ตะรุเตาทำได้ยาก เดินทางไม่สะดวก ทะเลกว้างใหญ่กลุ่มโจร‌
สามารถไปหลบตามเกาะแก่งที่ไหนก็ได้ ตัวขุนโจรเองก็ไม่เคยมี‌
ใครได้พบเห็นท่าน ท่านคุมลูกน้องเป็นโจรสลัดอยู่ 5 ปี

ได้กรรมฐานแต่ไม่รู้ว่าเป็นกรรมฐาน

หลังจากใช้ชีวิตอย่างโชกโชนในคราบขุนโจร นายประยุทธ ‌
สุวรรณศรี ก็กลับมาเยี่ยมบ้านที่หัวหิน โดยไม่มีใครรู้ว่าไปทำมา‌
หากินอะไรมา

เมื่อมาถึงบ้านพบว่าแม่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ที่ทำให้ท่าน‌
สะเทือนใจและเสียใจมากที่ไม่มีโอกาสได้สนองคุณแม่เลย‌
เพราะพี่สาวและน้องสาวบอกว่า ตั้งแต่ท่านหายสาบสูญไม่มี‌
ข่าวมาเลย ทำให้แม่เสียใจมาก เฝ้าแต่คร่ำครวญว่า“เล็กของ‌
แม่”จนสิ้นใจ ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงภาพถ่ายขนาดใหญ่เพียงภาพ‌
เดียว ไม่มีน้ำตาจะหลั่งไหลให้ใครดู มันตกอยู่ข้างใน

ท่านเป็นคนที่แม่รักมาก คำว่า“เล็กของแม่”ท่านได้ยินตั้ง‌
แต่เล็กจนโตเป็นที่ซาบซึ้งใจที่สุด ระลึกถึงอ้อมอกอันอบอุ่นของ‌
แม่ ระลึกถึงภาพที่แม่เคยปฏิบัติต่อท่าน ภาพต่างๆ ที่ผ่านมาได้‌
เข้ามาในความคิดคำนึง ขณะที่นั่งอยู่หน้ารูปของแม่ พลันจิต‌
ของท่านก็สงบและวูบลงไป

ขณะที่จิตของท่านกำลังสงบ ปรากฏชายร่างกายกำยำ 4 ‌
คนตรงเข้ามาจับตัวท่าน เข้าเครื่องขื่อคาลงทัณฑ์โดยไม่ฟัง‌
อะไรทั้งสิ้น แล้วนำท่านไปสู่ขุมนรกอันมีกระทะทองแดงใบ‌
ใหญ่ ร้อนมากไม่เคยเจออะไรร้อนอย่างนี้มาก่อน เป็นสิ่งที่‌
สยดสยองเกิดความหวาดกลัวอย่างรุนแรง จนท่านร้องเสียง‌
หลงว่า“แม่ช่วยลูกด้วย”พลันก็มีใบบัวอันใหญ่เท่ากระด้งตาก‌
ปลา มาช้อนร่างท่านขึ้นไปบนที่สูง นำท่านสู่วิมานลอยฟ้า อัน‌
วิจิตรบรรจงที่ไม่มีสถานที่ใดในเมืองมนุษย์จะเปรียบได้

ในวิมานนั้นปรากฏว่า มีนางฟ้าจำนวนเป็นร้อย ร่ายรำอยู่‌
เบื้องหน้า แต่ละนางอายุประมาณ 16-17 ปี มีรูปร่างความงาม‌
ดูละม้ายคล้ายคลึงกันที่งดงามและแปลกตาก็คือแต่ละนางสูง‌
ศอกเท่าเทียมกัน

ทันใดนั้นมีนางฟ้านางหนึ่งดูงดงามเป็นพิเศษ ลอยออกจาก‌
วิมารด้วยอาการแย้มสรวลมีเสน่ห์ นางลอยออกมาล่อหลอก ‌
โฉบผ่านหน้าท่านไปมา เหมือนจะทักทายให้ไขว่คว้า ความรู้สึก‌
ในขณะนั้นท่านได้ตามนางฟ้าเข้าไปในวิมาน แต่เมื่อท่านจะ‌
ตามเข้าไปหานางก็ปิดประตูกั้นไว้ พอถอยออกมานางก็โผล่‌
พักตร์มาล่อหลอกอีก ทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง จนท่านนึกฉุนว่า‌
ไม่ให้เข้า ก็ไม่ง้อและทำท่าถอยออกมา

นางจึงพูดว่า“ไปเสียก่อนเถอะ ไปสร้างบุญบารมีให้พอเสีย‌
ก่อน แล้วค่อยมาเจอกันใหม่”

เมื่อท่านถอยวูบออกมาลืมตาขึ้น จึงรู้ว่านั่งอยู่ตรงรูปถ่าย‌
ของแม่

นับว่าเป็นการได้กรรมฐานแล้วเป็นครั้งแรก แต่ท่านยังไม่‌
ทราบว่าเป็นเพราะอะไรแม้แต่คำว่ากรรมฐานก็ยังไม่รู้จัก

การนิมิตเห็นสวรรค์ นรก ทำให้ได้พบความจริงว่าชีวิต‌
มนุษย์นั้นต้องเป็นเช่นเดียวกันทั้งหมดไม่ตายไปลงนรก ก็จะได้‌
ขึ้นสวรรค์

ท่านไม่รู้ว่ากรรมฐานได้เกิดแก่ท่านแล้วตอนนั้น มารู้ก็เมื่อ‌
ไปอยู่กับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม

แต่ก่อนจะหลับตาลงสู่ความสงบ ก็ได้บอกต่อรูปแม่ว่
“แม่ต้องการอะไรขอให้ดลใจบอกให้รู้ ลูกจะทำทุกอย่างที่แม
ต้องการ แม้แต่เลือดเนื้อก็จะกรีดเพื่อทดแทนพระคุณ”เป็น‌
การเสี่ยงตายอุทิศชีวิตให้แก่แม่อย่างเด็ดเดี่ยว เหตุการณ์ทั้ง‌
หมดในนิมิต เป็นผลจากการที่แม่ของท่านเป็นคนใจบุญสุนทาน ‌
ได้สร้างสมบารมีอันเป็นกุศลไว้มาก ไม่ว่าเป็นทานและศีล‌
อาศัยบารมีนี้มาช่วยลูกเอาไว้ได้จากขุมนรก

หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็บอกพี่สาวน้องสาวว่า จะออก‌
จากบ้านไปอีก ไม่แน่ใจว่าอีกนานเท่าไหร่จึงจะได้กลับมาพบกัน ‌
พี่สาวเป็นห่วงกลัวน้องชายตกระกำลำบาก จะทักท้วงก็ไม่ได้ ‌
เพราะรู้ว่าน้องชายเป็นคนเด็ดเดี่ยว ตั้งใจทำอะไรต้องทำให้ได้ ‌
จึงเอาเงินวางให้ 5,000 บาท แต่ท่านเอาไปแค่ 500 บาท ‌
บอกว่าแค่นี้พอแล้ว ที่เหลือขอให้ทำบุญให้แม่ แล้วท่านก็จาก‌
ไป ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้ใกล้ชิดท่านเล่าว่า ตอนนั้นท่านมีเงิน‌
เป็นจำนวนมาก แต่เป็นเงินสมัยสงครามจะบอกให้ใครรู้ก็ไม่ได้‌
จึงรับเงินพี่สาวมาพอเป็นพิธี

มุ่งชีวิตสู่สมณเพศ

จากพี่สาวน้องสาวมา นายประยุทธ สุวรรณศรี ก็มุ่งลงใต้‌
เพราะมีเพื่อนพ้องและบริวารมาก ทั้งยังคุ้นเคยกับภูมิภาคแถบ‌
นั้นได้ดี จากนั้นได้พบกับหลวงปู่ท่านหนึ่งทำให้เกิดความเลื่อม‌
ใสในข้อวัตรปฏิบัติของท่าน จึงสละทรัพย์สินเงินทองและสร้อย‌
คอหนัก 10 บาท และพระเครื่องให้เพื่อน เพื่อแจกจ่ายกัน แล้ว‌
นายประยุทธก็ขอบวชเป็นพระอย่างเงียบๆ ไม่มีพิธีรีตองยุ่งยาก ‌
เรียกว่า“โกนหัวเข้าวัด”

ท่านพระอาจารย์ไม่ได้เปิดเผยชื่อหลวงปู่รูปนี้ แต่ท่านให้‌
ความเคารพกราบไหว้หลวงปู่รูปนี้มาก

ท่านได้อยู่ศึกษากับหลวงปู่รูปนี้เป็นเวลา 1 ปี เรียนรู้พื้นฐาน‌
การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน และธุดงควัตรตามแบบพระป่า

วันหนึ่งหลวงปู่ก็บอกท่านว่าหมดความรู้ที่จะสอนแล้ว ให้‌
ไปหาอาจารย์อีกรูปหนึ่งตอนนี้ท่านอยู่ทางภาคเหนือ พระ‌
อาจารย์รูปนั้นจะเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน

เมื่อถามว่าหลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่า อาจารย์รูปนั้นอยู่ทางภาค‌
เหนือ หลวงปู่ได้พบแล้วหรือ

หลวงปู่บอกว่าไม่ได้พบหรอก แต่พูดกันทางจิต และได้ฝาก‌
ฝังกับพระอาจารย์รูปนั้นในทางจิตและรู้เรื่องกันหมดแล้ว

หลวงปู่ยังได้บอกท่านว่า

- พระอาจารย์รูปนั้นท่าทางเป็นนักเลง อธิบายรูปร่างให้ฟัง‌
อย่างละเอียด

- บอกเส้นทางที่จะเดินทางไปพบ แต่ไม่บอกชื่อของพระรูป‌
นั้นให้ทราบ

ที่สำคัญที่หลวงปู่สั่งก็คือการไปหาอาจารย์ท่านนั้น ขึ้นรถ‌
ลงเรือไปไม่ได้ ต้องเดินธุดงค์ด้วยเท้าจากภาคใต้ไปถึงภาค‌
เหนือจะนานเท่าไหร่ก็ตาม

เมื่อกราบลาหลวงปู่แล้ว ท่านก็เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือ...

กรุณาติดตามตอนต่อไปในสัปดาห์หน้า

 

 

Thailand Web Stat