ใจสำคัญ งานสัมฤทธิ์ด้วยอิทธิบาท
โดย...วรธาร ทัดแก้ว
โดย...วรธาร ทัดแก้ว
คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ต่างแสวงหาความสุขด้วยกันทั้งนั้น แต่การจะได้ความสุขมานั้นก็ต้องรู้จักการทำงานด้วยความถูกต้อง และงานนั้นจะสัมฤทธิผลได้ตามที่หวัง ผู้นั้นต้องพรั่งพร้อมสมบูรณ์ด้วยหัวใจแห่งอิทธิบาท อันถือเป็นหลักในการทำงานให้มีความสุขและประสบความสำเร็จตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน 4 ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
ฉันทะ...พอใจในงานที่ทำ
พระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ได้อธิบายเกี่ยวกับฉันทะว่า การที่คนเราไม่ว่าจะทำงานอะไรต้องพิจารณาดูว่ามีฉันทะในการทำงานหรือไม่ ถ้ายังก็ต้องรู้จักใช้ความคิดให้เกิดฉันทะในการทำงาน ไม่ว่าเราจะมีหน้าที่อะไรก็ต้องมีฉันทะ บางทีอาจจะรู้สึกขี้เกียจ หรือบางคนตั้งแต่เล็กๆ พ่อแม่มีฐานะดี เลี้ยงดูมาอย่างดี ตามใจมาตลอด อยากให้ลูกสบายไม่ต้องทำอะไร เรียกว่าจะทำอะไรก็มีคนคอยรับใช้ เมื่อโตขึ้นมาแล้วก็ไม่อยากทำอะไร หรือทำอะไรก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่เป็น พฤติกรรมเช่นนี้จะต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของความไม่มีฉันทะ และเห็นประโยชน์ของความมีฉันทะว่าเป็นอย่างไร ซึ่งต้องอาศัยความคิด
“รู้จักคิดดี คิดถูก เมื่อเกิดฉันทะแล้วความพอใจในการที่จะทำงานให้สำเร็จก็จะเกิดขึ้น เมื่อทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานที่ชอบหรือว่าไม่ชอบ ทำงานก็ได้ค่าตอบแทน ได้เงินเดือน เราก็ต้องพิจารณาว่างานที่เราทำนี้มีประโยชน์กับชีวิตตัวเอง มีประโยชน์ต่อครอบครัว ต่อสังคมประเทศชาติหรือไม่ ถ้าคิดได้แบบนี้ฉันทะก็จะเกิด นี่คือฉันทะ” พระอาจารย์อธิบาย
วิริยะ...ความเพียรต่อเนื่อง
พระอาจารย์บอกว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เมื่อรู้สึกขี้เกียจให้ใช้ความคิดพิจารณาให้เห็นโทษของความขี้เกียจ พยายามเอาความรู้สึกที่ขี้เกียจออกจากจิตใจของเราก่อน แล้วสร้างความขยันให้เกิดมีขึ้นด้วยการใช้ปัญญาความคิดให้เห็นประโยชน์ของความขยัน
“เราสามารถมองดูคนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเราว่าคนขี้เกียจเป็นอย่างไร คนขยันเป็นอย่างไร เราก็ดูแบบอย่างคนที่ดี คนที่ขยัน และเราก็อยากจะทำงานด้วยความขยันเหมือนเขา แค่นี้ความรู้สึกขยันจะเข้ามาแทนความรู้สึกขี้เกียจได้” พระอาจารย์แนะวิธีเปลี่ยนจากคนขี้เกียจมาเป็นขยันด้วยวิธีง่ายๆ
จิตตะ...ตั้งมั่นจดจ่อ
พระอาจารย์อธิบายว่า หมายถึงการมีจิตจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ กล่าวคือมีสมาธิกับงาน ไม่ใช่ทำงานแล้วใจลอยไปลอยมา คิดถึงแต่เรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้ว พานเกิดความน้อยใจ เสียใจ ไม่สบายใจ อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็เป็นวิตกกังวล กลัวจะไม่เป็นอย่างที่หวังเอาไว้ และถ้าหวังไว้มาก ไม่เป็นอย่างหวังก็ผิดหวังมาก
“เราต้องมีจิตใจจดจ่ออยู่กับหน้าที่การงานในปัจจุบัน มีสมาธิอยู่กับงานที่ทำในปัจจุบัน จึงจะเรียกว่ามีจิตตะ อย่างไรก็ตาม จิตตะนี้ยังหมายถึงการรู้จักใช้ปัญญา ความคิด เพื่อหาทางทำงานให้สำเร็จด้วยเช่นกัน อาทิ การคิดในลักษณะทบทวนการทำงานในอดีต เพื่อนำมาเป็นบทเรียน การคิดวางแผนในอนาคต การคิดเพื่อค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ หาวิธีการที่จะช่วยทำให้งานสำเร็จ ก็ถือเป็นการใช้หลักของจิตตะ”
วิมังสา...ใช้ปัญญาแก้ปัญหา
พระอาจารย์อธิบายว่า งานที่เราทำบางครั้งก็มีปัญหา อาจมีปัญหามากบ้าง น้อยบ้าง แต่ทุกปัญหาขอให้เชื่อว่ามีทางออก และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เราก็ต้องใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา ต้องใช้ความคิดหาสาเหตุของปัญหาว่าคืออะไร
“เราต้องแก้ที่เหตุ ถ้าแก้เหตุได้ปัญหาก็จบ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าปัญหาเกิดเพราะเหตุ เมื่อเหตุดับปัญหาก็ดับ เมื่อเรารู้เหตุของปัญหา เราก็ต้องแก้ที่เหตุตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้”
ใจสำคัญที่สุดในการทำงาน
พระอาจารย์ กล่าวว่า การทำงานทุกชนิดต้องเอาใจใส่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะทำอะไรให้เอาใจใส่ในการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ด้วยสุขภาพใจดี พยายามให้จิตอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับการทำงาน และคอยระมัดระวังความคิด เมื่อเอาใจใส่หน้าที่การงานแล้วก็จะมีสุขภาพใจดี มีความสุขได้
พร้อมย้ำว่า ใจของทุกคนสำคัญที่สุด คือเมื่อจิตใจดีก็จะส่งผลให้คิดดี พูดดี ทำดี ทำงานสำเร็จได้ด้วยดี ถ้าใจไม่ดี คิดก็ไม่ดี พูดอะไรก็ไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดี ถึงแม้จะรวย มียศตำแหน่งสูง ได้รับการยกย่องสรรเสริญมากแค่ไหนก็หาความสุขไม่ได้ สิ่งสำคัญต้องพัฒนาใจดวงนี้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรู้จักรักและเมตตาตัวเอง ส่วนสุขภาพใจไม่ดี คือ ขี้เกียจ ขี้ฟุ้งซ่าน ขี้น้อยใจ ขี้อิจฉา ขี้กลัว ขี้โกรธ ขี้เหนียว เหล่านี้คือสิ่งปฏิกูลทางจิตใจเปรียบเหมือนขยะ ทุกคนต้องรู้จักวิธีจัดการกับมัน
เจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม บอกว่า วิธีปฏิบัติเพื่อชำระจิตใจให้สะอาดนี้ ขอเปรียบเหมือนสร้างห้องสุขาสะอาดเอาไว้ห้องหนึ่งเอาไว้ที่หัวใจของตัวเอง จิตใจที่ไม่สะอาดก็เป็นเหมือนน้ำที่ไม่สะอาด น้ำเน่า น้ำเสีย สิ่งเจือปนที่ทำให้น้ำสกปรกก็เปรียบเป็นกิเลส ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เข้ามาครอบงำจิตใจของเรา
“หากต้องการน้ำสะอาด แม้จะยังไม่มีน้ำสะอาดให้ แต่ความจริงแล้วขอให้มีน้ำอะไรก็ได้ น้ำเน่า น้ำเสีย น้ำทะเล ขอให้เป็นน้ำ แล้วเราก็ต้องเข้าใจว่าน้ำบริสุทธิ์ก็อยู่ที่น้ำไม่บริสุทธิ์ สมมติว่าไม่มีน้ำสะอาดดื่ม ก็ต้องหาน้ำจากที่ไหนก็ได้ เช่น ถ้าอยู่ใกล้ๆ ทะเลก็ใช้น้ำทะเล แต่ก็ต้องหาวิธีทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำสะอาดพอที่จะดื่มได้ วิธีการหนึ่งคือต้มน้ำทะเลให้เดือดแล้วเก็บกักไอน้ำไว้ ทำให้น้ำเย็นลงก็จะได้น้ำสะอาดเอามาดื่มได้ เราสามารถกลั่นน้ำทะเลให้เป็นน้ำสะอาดได้ สำหรับจิตใจของคนเราก็เหมือนกัน” พระอาจารย์ชาวญี่ปุ่น กล่าว