Bellflower

09 กันยายน 2555

โดย...ปณิตัส  

โดย...ปณิตัส  

ปี 2011

ประเทศ สหรัฐอเมริกา

ภาษา อังกฤษ

เรตติง R (ความรุนแรง/เซ็กซ์/ภาษา/ยาเสพติด)

Bellflower

 

ประเภท บู๊/ชีวิต/รัก

ความยาว 105 นาที

กำกับ เอฟเวน กลอเดลล์

แสดงนำ เอฟเวน กลอเดลล์/เจสซี ไวส์แมน/ไทเลอร์ ดอว์สัน/รีเบคาห์ แบรนเดส

สองชายหนุ่มเพื่อนรัก วูดโดรว์ (เอฟเวน กลอเดลล์) กับ เอเดน (ไทเลอร์ ดอว์สัน) ออกจากบ้านที่รัฐวิสคอนซินมาเพื่อใช้ชีวิตแบบ “ผู้ใหญ่ๆ” ของตัวเอง ณ เมืองเล็กๆ ใกล้ๆ แอลเอ ชื่อเมืองเบลฟลาวเวอร์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

แต่จะว่าไปทั้งคู่ก็ไม่ค่อยทำอะไรเป็นแก่นสารสักเท่าไหร่ วันๆ ก็ได้แต่คิดค้นเครื่องพ่นไฟการทำลายล้างสูง เพราะต่างเชื่อว่าวันโลกาวินาศจะมาถึงในเวลาอันใกล้ โดยเมื่อวันนั้นมาถึง พวกเขาจะใช้มันเผาเคลียร์เส้นทาง เพื่อให้ “มาเตอร์ เมดูซา” รถแต่งเครื่องแรงคันงามของพวกเขา พาหนีข้ามไปยังโลกใหม่ได้อย่างสะดวกโยธิน

ระหว่างทางที่จุดจบของโลกยังไม่มาถึง วูดโดรว์ กลับไปปิ๊งหญิงสาวนางหนึ่ง มิลลี่ (เจสซี ไวส์แมน) แล้วหลงรักอย่างหัวปักหัวปำ เรื่องโลกาวินาศ สัญญาลูกผู้ชายยังไงก็ฉุดไม่อยู่ ต้องพักโครงการเอาไว้ก่อน

ขณะที่วูดโดรว์ ที่พ่วงเอเดน ไปด้วยในบ้างครั้งบางโอกาส ไปอยู่ในแวดวงเพื่อนกลุ่มใหม่ แม้เอเดนทำท่าจะปิ๊งปั๊งกับ คอร์ทนีย์ (รีเบคาห์ แบรนเดส) แต่เขาไม่ได้จมอยู่ในห้วงเสน่หา ทว่า ยังสานฝันในการประกอบสร้างรถแต่งที่ประหนึ่งเรือโนอาห์ อย่าง มาเตอร์ เมดูซา ต่อไป

แต่ละเรื่องราวย่อมมาถึงจุดจบ โดยเฉพาะเมื่อคนที่รักนอกใจ จุดจบย่อมดำเนินมาถึงเร็วกว่าคาด การตัดสินและแก้ปัญหาด้วยอารมณ์พาไป มันยิ่งกว่าโลกจะแตก ทั้งยังนำพาไปถึงจุดจบแทบไม่ต่างจากโลกาวินาศ ในชีวิตของหนุ่มน้อยทั้งสองคน

แม้เนื้อหาใน Bellflower จะเล่าเรื่องเหลวไหลไร้สาระของคนหนุ่มสาวกลุ่มเล็กๆ ที่ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน (แต่ก็แอบกดดันและเครียดในหลายช่วง) กระนั้นก็สอดแทรกเรื่องคุณธรรมน้ำมิตร ความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างเพื่อนที่ปราศจากข้อแม้

จังหวะของหนังพุ่งพล่านไม่ต่างจากประกายเพลิงที่พวกเขานำมาเผาผลาญหลายๆ สิ่งในเรื่อง และไม่ต่างอารมณ์ที่ร้อนแรง วูบวาบของชายหนุ่ม อารมณ์ของหนังนอกจากจะถูกกำหนดโดยการตัดต่อ ที่สลับช่วงตอนไปมา แบบไม่เรียงปะติดปะต่อกันแล้ว ยังถูกกำหนดด้วยเทคนิคการถ่ายภาพดังที่ เอฟเวน กลอเดลล์ ผู้กำกับและนักแสดงนำ ตั้งใจเอาไว้

ด้วยเทคนิคอินเทรนด์การถ่ายภาพให้ดูเก่าๆ แบบวินเทจๆ สไตล์โลว์คีย์ เริ่มต้นตั้งแต่กล้องและฟิล์มที่ใช้เลยทีเดียว นอกจากนี้ เขาจะนำวิธีคิดแบบเมตาเท็กซ์ชวล (Metatextual) คืออารมณ์เวอร์ๆ แบบดรามาๆ แรงๆ รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ดูน่ากลัว เหนือจริง ในเรื่องราวและการแสดงมาควบรวมเอาไว้ ทำให้หนังรู้สึกหม่นเศร้า ดูกดดัน หดหู่ ราวกับจะถึงกาลวินาศ โลกจะแตกขึ้นในวันสองวันนี้จริงๆ

การตัดเรื่องแบบสลับไปสลับมา แรกๆ อาจดูเหมือนเรื่องราวขาดความต่อเนื่อง แถมยังสับสนว่า เรื่องไหนเกิดจริง เรื่องใดจินตนาการหรือฝันไปหรือเปล่า แต่พอดูต่อเนื่องไปจนจบแล้ว จะกลายเป็นการขยายความแบบย้ำคิดย้ำทำ ให้เรื่องราวกระจ่างขึ้นยิ่งกว่าเดิม

แม้โลกจะยังไม่ถึงกาลอวสาน แต่เรื่องทุกเรื่องย่อมมีจุดจบ เป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอน

Thailand Web Stat