โลกบรรณพิภพ ‘หวงอี้’ กับ 5 ปีที่รอคอย
ช่วงนี้คนดังมาเยือนเมืองไทยกันให้รึ่ม ตั้งแต่ผู้นำฝั่งอเมริกา บอยแบนด์สุดป๊อปแดนกิมจิ
ช่วงนี้คนดังมาเยือนเมืองไทยกันให้รึ่ม ตั้งแต่ผู้นำฝั่งอเมริกา บอยแบนด์สุดป๊อปแดนกิมจิ
โดย...โจ เกียรติอาจิณ / ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน
กระทั่งนักเขียนเลือดมังกรชื่อก้อง ก็ถือโอกาสดีๆ แวบมาสิงสถิตที่บ้านเราเช่นกัน
แม่นแล้ว เรากำลังพูดถึง “หวงอี้” ปรมาจารย์ด้านยุทธจักรนิยายกำลังภายใน
มาเยือนไทยหนนี้ หวงอี้มีคิวงานหลักๆ คือ เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ “เหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ” หลังวางปากกาไปนาน 5 ปีเต็ม ขณะเดียวกันเขาก็พร้อมเปิดปากกับเหล่าแฟนคลับ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวแบบชิดใกล้
บ่าย 2 โมง การพบปะกับหวงอี้ มีขึ้น ณ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ แฟนคลับตระเตรียมต้อนรับกันอย่างคึกคัก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หวงอี้ก็ปรากฏตัวด้วยทีท่าสบายๆ สีหน้าของเขาดูขรึมมากกว่ายิ้มแย้ม แต่บ่อยครั้งเขาก็เผลอยิ้มกว้างจนตาปิด
บทสนทนาแต่ละบท สะท้อนตัวตนความเป็นนักเขียนที่ไม่ใช่คนเปิดเผย (ซะทีเดียว) แทบจะทุกบทสนทนาล้วนซ่อนเร้นซึ่งถ้อยคำที่ผู้ฟังต้องตีความกันเอาเอง
“การเขียนหนังสือมันก็เหมือนการติดยา เมื่อเสพแล้วก็อยากเสพอีก อยากเสพต่อ ยิ่งได้เสพเรื่อยๆ ก็ยิ่งดี เริ่มแล้วค่อนข้างเลิกยาก แต่พอหยุดก็อาจป่วยได้ ฉะนั้นถ้าไม่อยากป่วยก็ต้องเสพต่อ ในฐานะนักเขียนก็ต้องจับปากกาขึ้นมาเขียน เพราะสุดท้ายมันคงไม่มีอะไรไปกว่าการได้เขียนหนังสือหรอก”
จากงานเขียนเล่มแรกๆ “เจาะเวลาหาจิ๋นซี” “มังกรคู่สู้สิบทิศ” “ขุนศึกสะท้านปฐพี” “เทพมารสะท้านภพ” “จอมคนแผ่นดินเดือด” “เทพทลายนภา” “ศึกรักแดนสนธยา” “ผู้พิชิตดาราจักร” จนถึงเล่มล่าสุด “เหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ” หวงอี้ยังคงเน้นเค้าโครงอันมีประวัติศาสตร์จีนยุคเก่านำทาง ใช้ตัวละครมากมายเดินเรื่อง โลดโผนด้วยฉากกำลังภายในและความหวาบหวามของบทรักอัศจรรย์ใจ
“บทรักผมว่ามันคือการแสดงที่เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องปกปิด หรือหลบซ่อน เพราะมันไม่ใช่สิ่งเสียหาย หรือเรื่องเลวร้าย เมื่อมันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาก็ควรจะทำให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ” (อู้!!?)
ที่บ้านเกิดฮ่องกง แม้หวงอี้จะเป็นนักเขียนดัง และแม้เขาจะสนใจดาราศาสตร์กับคอมพิวเตอร์ แต่เขากลับใช้ชีวิตง่ายๆ ในบ้านที่มีศรีภรรยา แล้วก็น้องหมาอีกหลายตัว
ใช่หวงอี้เป็นคนรักหมา ถือเป็นคนที่ผูกพันกับหมามากถึงมากที่สุด งานเขียนเล่มใหม่นี้ แรงบันดาลใจของเขาก็มาจากหมา หมาตัวโปรดที่สิ้นลมไปทิ้งไว้แค่ความทรงจำดีต่อเขา
“หมาตัวนั้นทำให้ชีวิตผมและภรรยาเปลี่ยนไปเลย มันทำให้ผมเศร้าไปพักใหญ่ๆ ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมกลับมาจับปากกาอีกครั้ง เพื่อลงมือเขียนนิยายเรื่องใหม่ ผมว่าการจบของเรื่องเก่า มันคือการเริ่มต้นของเรื่องใหม่ เมื่อเรื่องเก่าๆ จบลง ก็มักมีเรื่องใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ”
แต่น่าสนใจกว่านั้น คือ การทำงานของหวงอี้ จากอดีตจวบวันนี้ นักเขียนวัย 57 ยังจรดตัวอักษรลงบนกระดาษเปล่าเปลือยด้วยปากกา หาได้ใช้นิ้วรัวพิมพ์บนแป้นคอมพิวเตอร์เช่นที่คนอื่นนิยม
“ผมไม่ชอบนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ทั้งๆ ที่ผมก็สามารถที่จะพิมพ์เองได้ แต่ผมกลับใช้วิธีเขียนด้วยลายมือ แล้วค่อยมาให้คนอื่นพิมพ์ซ้ำ ผมว่ามันเป็นวิธีที่มีเสน่ห์ มันทำให้คนเขียนได้เห็นถึงความงดงามของลายมือที่จรดลงไปในแต่ละครั้ง แล้วมันก็ได้เห็นความงามของภาษาที่คนเขียนจรดลงบนกระดาษ ถ้าผมรู้สึกเหนื่อยผมก็จะเดินจากชั้น 3 ของบ้านมาเล่นกับหมา มันเป็นวิธีที่ช่วยให้ผมผ่อนคลายได้ดี พอรู้สึกผ่อนคลายผมก็กลับไปเขียนงานต่อ”
หวงอี้ถือเป็นนักเขียนนิยายกำลังภายในยุคผลัดใบของ 2 นักเขียนเทพ “โก้วเล้ง” กับ “กิมย้ง” โดยหวงอี้เข้ามีมาบทบาทและประกาศศักดา เมื่อวงการสูญเสียโก้วเล้งไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ พร้อมๆ กับกิมย้งก็ขอวางปากกาอย่างถาวร นั่นทำให้หวงอี้กลายเป็นนักเขียนไฟแรงที่มาพร้อมผลงานกำลังภายใน ซึ่งได้รับความนิยมทั่วทั้งเอเชีย
บางเล่มป๊อปมากๆ ถึงขั้นมีคนนำไปดัดแปลงเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ อาทิ “เจาะเวลาหาจิ๋นซี” “มังกรคู่สู้สิบทิศ” “เทพมารสะท้านภพ” ไม่หมดแค่นี้ ผลงานเกือบทุกเล่มยังถูกถ่ายทอดเป็นหนังสือการ์ตูนอีกด้วย
สำหรับ “เหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ” (แปลเป็นภาษาไทย 1 เล่ม โดย น.นพรัตน์ สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์ หวงอี้คาดว่าน่าจะมีถึง 20 เล่ม อ่านกันจนตาฉ่ำแน่นอน 555) เล่าเหตุการณ์ 60 ปี หลังพระนางบูเช็กเทียน ผู้ล้มล้างราชวงศ์ถัง สถาปนาราชวงศ์โจวขึ้นครองราชย์ เดินเรื่องโดยตัวเอก “หลงอิง” หนุ่มผู้มีกำเนิดจากพรรคมารและได้ฝึกปรือวิทยายุทธ์ “จิตแห่งธรรมปลูกฝังมาร” จนสำเร็จ ภายใต้การครอบงำจิตวิญญาณของเหล่ามารที่พร้อมจะแปลงคนดีให้เป็นวายร้าย
น.นพรัตน์ พูดถึง หวงอี้
เป็นคนแปลหนังสือของหวงอี้ ทั้งยังเป็นทั้งเพื่อนรัก มักเจียดเวลาไปมาหาสู่กันไม่ขาด “น.นพรัตน์” หรือ “อำนวย ภิรมย์อนุกูล” พูดถึงเจ้าของฉายา “จอมเทพอักษราแห่งบูรพาทิศ” ว่า หวงอี้นั้นเปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง
“ผมมาดัง แล้วผมก็มาลืมตาอ้าปากได้ เพราะหวงอี้จริงๆ นะครับ (หัวเราะร่วน) หวงอี้เป็นคนที่เปลี่ยนชีวิตผม หวงอี้เป็นคนหยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้ผม คนรู้จักผมในฐานะ น.นพรัตน์ (อำนวย คือร่างเงาของ น.นพรัตน์ หรือ อานนท์ ภิรมย์อนุกูล ผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ที่เสียชีวิตไปแล้ว) ก็จากงานแปลของหวงอี้”
“งานแปลเล่มนี้ผมขอนิยามสั้นๆ ว่า มันเรียบรื่นเหมือนสายน้ำ ข้อดีของมันคือ รวดเร็วในการเดินเรื่อง ส่วนข้อเสียก็อาจจะอยู่ที่เน้นกำลังภายในมากเกินไป ซึ่งเรื่องก่อนๆ ของหวงอี้ก็จีมีลักษณะแบบนี้ที่มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่เล่มล่าสุดผมว่ามันเป็นการผสมผสานระหว่างเจาะเวลาหาจิ๋นซีกับมังกรคู่สู้สิบทิศ
หวงอี้เคยพูดเสมอว่าเขาอยากเป็นนักเล่านิทาน ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ ดังนั้นประวัติศาสตร์ที่อยู่ในนิยายของเขา อาจจะต้องมีการทำความเข้าใจ หรือตีความกันตามแต่ผู้อ่าน ว่าจะสามารถมีประสบการณ์ร่วมกับมันมากน้อยแค่ไหน คำว่าบิดเบือนประวัติศาสตร์ก็อยู่ที่ว่าผู้อ่านมองมุมไหนต่างหาก”
แฟนพันธุ์แท้ พูดถึง หวงอี้
“ทรงยศ พงศ์โรจน์เผ่า” เจ้าของแชมป์เจ้ายุทธจักร รายการแฟนพันธุ์แท้ มาเจอหวงอี้ในวันงาน พร้อมถ้วยรางวัล (กะมาขอลายเซ็นหวงอี้ด้วยไง) เราไม่รีรอที่จะคว้าตัวเขามาพูดถึงนักเขียนคนโปรด
“งานเขียนหวงอี้ชอบเอาตัวละครเข้าไปพัวพันกับประวัติศาสตร์ วิชายุทธ์และเคล็ดวิชาต่างๆ ก็ค่อนข้างพิสดารพันลึกกว่าคนอื่นๆ บวกกับมีฉากเซ็กซ์เยอะพอสมควร แต่ถ้าอ่านกันดีๆ จะเข้าใจฉากเซ็กซ์นั้นๆ ว่าทำไมต้องมี มีเพื่ออะไร หรือต้องการสื่อถึงอะไร”
“ขณะที่จุดอ่อน ผมว่ามันก็คือการที่เอาตัวละครเข้าไปพัวพันกับประวิศาสตร์มากเกินไปนี่แหละ เพราะการเล่นกับประวัติศาสตร์มากเกินไป ก็ทำให้เรื่องน่าเบื่อ ซ้ำซาก ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่”
“สมัยก่อนเรื่องภาษาของหวงอี้จะเป็นสำเนียงกวางตุ้ง แปลออกมาแล้วไม่สละสลวยเท่าไหร่ เข้าใจยาก แต่หลังๆ เขาก็เริ่มปรับมาเป็นจีนกลาง ซึ่งผมว่าเป็นภาษามาตรฐาน ที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ง่ายกว่า”
“ผมอ่านงานหวงอี้มาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดเขาจะใช้ชื่อ อึ้งบั๊ก งานที่ถูกแปลก็มี เหยี่ยวเหนือฟ้า โดย ว. ณ เมืองลุง แล้วคุณ น.นพรัตน์ ก็นำแปลซ้ำในชื่อ เทพทลายนภา ผมกล้าฟันธงได้เลยว่า เป็นนิยายกำลังภายในขนาดสั้นที่ดีที่สุดเท่าที่อ่านมา”
“ส่วนตัวผมมองว่าหวงอี้เขียนสั้นดีกว่าเขียนยาว เพราะเขาเขียนยาวแล้วค่อนข้างจะเวิ่นเว้อ เหมือนเขาเสียดายของ ของที่ว่าคืองานรีเสิร์ชที่เขาไปทำมา โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ แต่พอเอามารวมๆ มันก็เลยจะยาวไป ให้แนะนำเล่มที่ดีที่สุดของเขา ผมว่าต้อง 2 เล่มนี้แหละ เทพทลายนภากับเจาะเวลาหาจิ๋นซี”