ทัวร์คันเดียวเที่ยวปากเซ
จำไม่ได้ว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ใช้บริการรถไฟหรือรถทัวร์เดินทางออกต่างจังหวัดไกลๆ
จำไม่ได้ว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ใช้บริการรถไฟหรือรถทัวร์เดินทางออกต่างจังหวัดไกลๆ
วันนี้รู้สึกตื่นเต้นที่จะต้องไปหมอชิตเดินทางไกลไปปากเซ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว ด้วยรถ บ.ข.ส. วิ่งรวดเดียวจากกรุงเทพฯ ถึงเมืองปากเซ ใช่แล้วครับ ฟังไม่ผิดหรอกครับ เพราะตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2555 เป็นต้นมา บริษัท ขนส่ง (บ.ข.ส.) ได้เปิดเดินรถเส้นทางกรุงเทพฯนครหลวงเวียงจันทน์ และเส้นทางกรุงเทพฯ–ปากเซ จากความร่วมมือของหน่วยงานทั้งสองประเทศ คือ กรมการขนส่งทางบกของไทยกับกรมขนส่งของประเทศลาว เปิดการเดินรถโดยสารระหว่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนทั้งสองประเทศ ให้สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวกสบายและประหยัด รวมทั้งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และยังเป็นการดำเนินงานตามแนวประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) โดยส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงของโครงข่ายการคมนาคมขนส่ง และเป็นประตูสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจแห่งภูมิภาคเอเชีย
เส้นทางกรุงเทพฯ–นครหลวงเวียงจันทน์ เดินรถด้วยรถโดยสารมาตรฐาน 4 (ก) ร่วมกับรัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ฝ่ายละ 1 เที่ยวต่อวัน ค่าโดยสาร 900 บาท ใช้เวลาในการเดินทาง 10 ชั่วโมง ส่วนเส้นทางกรุงเทพฯ–ปากเซ เดินรถร่วมกับบริษัทร่วมมือขนส่งโดยสารจำปาสัก ด้วยรถโดยสารปรับอากาศมาตรฐาน 1 (ข) พิเศษ 32 ที่นั่ง ฝ่ายละ 1 เที่ยวต่อวัน ค่าโดยสาร 900 บาท ใช้เวลาในการเดินทาง 11 ชั่วโมงครึ่ง
ผมมีนัดกับพี่เจี๊ยบ อภินันท์ บัวหภักดี บรรณาธิการภาพอนุสาร อสท และทีมงานที่สถานีขนส่งหมอชิต วันนั้นเป็นวันศุกร์คนเดินทางคึกคักพลุกพล่าน นั่งๆ นอนๆ ตามมุมต่างๆ เหมือนภาพในอดีตที่ไม่เคยเปลี่ยน 3 ทุ่มตรงล้อหมุนรถทัวร์ปรับอากาศ 32 ที่นั่ง ค่อยๆ ขยับตัวออกจากซองอย่างช้าๆ รวมทั้งรถคันอื่นๆ ที่ออกเวลาเดียวกัน สังเกตดูรถเที่ยวนี้ยังไม่เต็ม ด้านหลังมีฝรั่งต่างชาตินั่งกันอยู่สองแถวซ้ายขวา ส่วนคณะสื่อมวลชนกับทีมงานยึดตั้งแต่หัวไปจนถึงกลางรถราว 16 ชีวิต พนักงานต้อนรับสาวสวยในชุดสีฟ้าแซมส้มสดใส เธอแนะนำตัวและทักทายกับผู้โดยสารผ่านไมโครโฟนด้วยเสียงอันนุ่มนวลเหมือนพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เป็นการบริการที่แปลกใหม่ อ่อนโยน แบบมีสไตล์ ซึ่งต่างจากอดีตที่หยาบกระด้างแบบทื่อๆ
ราวเที่ยงคืนรถเข้าจอดที่จุดพัก อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา เพื่อให้ผู้โดยสารลงไปยืดเส้นยืดสายเข้าห้องน้ำห้องท่า รวมทั้งสามารถเอาคูปองจากตั๋วรถไปแลกอาหารหรือขนม ขณะเดียวกันทางพนักงานขับรถก็ไปลงบันทึกเวลาตามระบบมาตรฐานการเดินรถของ บ.ข.ส.เพื่อความปลอดภัย
“อนุสรา” พนักงานต้อนรับเล่าให้ฟังว่า เธออยู่ในตำแหน่งนี้มา 6 ปีแล้ว ประจำเส้นทางภายในประเทศสายอีสาน ถูกคัดเลือกให้มาทำหน้าที่สายระหว่างประเทศ กรุงเทพฯปากเซ ตั้งแต่เปิดบริการเธอบอกว่างานที่ทำก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิม การบริการก็เสมอภาคเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ แต่สิ่งที่จะต้องเรียนรู้และภาระหน้าที่ที่เพิ่มขึ้น คือการดูแลเรื่องเอกสาร พาสปอร์ต ของผู้โดยสาร เริ่มตั้งแต่การซื้อตั๋วนักท่องเที่ยวต้องมีพาสปอร์ตมายืนยันในการจอง เพื่อทำเป็นข้อมูลในการใช้ข้ามแดน แล้วต้องพาทุกคนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ที่ผ่านมาก็มีปัญหาบ้างเหมือนกันที่นักท่องเที่ยวต่างชาติบางประเทศต้องเสียค่าวีซ่าในการเข้าประเทศลาว นักท่องเที่ยวบางคนไม่เข้าใจ ทำให้เสียเวลาในการเจรจาและทำเอกสารโดยปกติ ถ้าไม่ติดขัดอะไรจะใช้เวลาการข้ามแดนไทยลาว ประมาณ 1 ชั่วโมงของผู้โดยสารทั้งคันรถ
8 แปดโมงเช้า รถมาถึงหน้าด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เวลา 11 ชั่วโมงบนรถทัวร์ 32 ที่นั่ง ทำให้ผมปวดเมื่อยและอ่อนเพลีย เพราะหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทาง ถ้าได้นั่งแบบวีไอพี 24 ที่นั่ง น่าจะสบายตัวกว่านี้ หลายคนในคณะมีความเห็นตรงกัน คิดว่าทาง บ.ข.ส.น่าจะนำไปพิจารณาดูนะครับ
ขั้นตอนผ่านแดนก็ไม่ยุ่งยากอะไร ถือพาสปอร์ตผ่านการตรวจของ ตม.ไทยแล้วเดินลอดอุโมงค์มาฝั่งลาวผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของลาว โดยเสียค่าธรรมเนียม 40 บาท สำหรับคนไทย ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติแต่ละประเทศเสียไม่เท่ากัน แล้วแต่ทางการลาวกำหนด จากนั้นก็ไปยืนรอรถทัวร์คันเดิมที่หน้าด่านวังเต่าของฝั่งลาว เป็นอันเสร็จพิธีในการข้ามพรมแดนทั้งสองประเทศ ซึ่งก็นับว่าสะดวกดี ไม่ต้องเปลี่ยนรถแบกของกันพะรุงพะรังเหมือนแต่ก่อน
เมื่อผู้โดยสารพร้อม รถพร้อม ก็ออกเดินทางต่อมุ่งหน้าสู่เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก แดนดินถิ่นลาวใต้ ระยะทางจากหน้าด่านถึงปากเซไม่เกิน 50 กิโลเมตร ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ถึง แม้ระยะทางเช้าวันนี้จะสั้น แต่ทำให้ผมอดตั้งคำถามกับโชเฟอร์ไม่ได้ ทำไมเหรอ ??? ก็การเดินทางตลอดคืนถึงรุ่งเช้าก่อนข้ามด่านคนขับรถยังขับเลนซ้าย เพราะพวงมาลัยรถอยู่ด้านขวา แต่ตอนนี้รถมาวิ่งอยู่เลนขวา แต่พวงมาลัยขวา เพราะประเทศลาวรถเขาพวงมาลัยซ้าย วิ่งเลนขวา แล้วการที่โชเฟอร์รถไทยต้องมาขับเปลี่ยนเลนชั่วพริบตาจะเกิดอะไรขึ้น ฮ่าๆ...แค่คิดก็เสียวแล้ว พี่ชนินทร์ บอกว่า ขับรถทัวร์มานานนับสิบปีทั้งสายเหนือ สายอีสาน ก่อนที่จะย้ายมาขับเส้นทางนี้ได้เดือนกว่าๆ พี่แกพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ถึงแม้อยู่ฝั่งไทยขับเลนซ้ายแล้วย้ายมาเลนขวาเมื่ออยู่ฝั่งลาว แต่ก็ต้องไม่ประมาททุกฝีก้าว ความรับผิดชอบทุกอย่างเกินร้อย เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารต้องปฏิบัติตามกฎจราจรโดยเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องความเร็ว ถ้าขับช้าโอกาสเกิดอุบัติเหตุแทบจะไม่มี ซึ่งผมสังเกตก็จริงอย่างที่แกว่า ระหว่างการสนทนาสายตาพี่แกนิ่งมองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น สองมือจับพวงมาลัยอย่างหนักแน่น ผมกลัวแกจะเสียสมาธิ เลยหยุดการสนทนาเพียงเท่านั้น เพราะหากเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวจะฮาไม่ออก ฮ่าๆๆ