พลานุภาพของเมตตา

02 เมษายน 2556

ในสมัยพุทธกาล ภิกษุกลุ่มหนึ่งเรียนกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ แล้วก็ชวนกันเข้าไปฝึกปฏิบัติอยู่กลางป่า

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

(๑) พลานุภาพของเมตตาสมัยพุทธกาล

ในสมัยพุทธกาล ภิกษุกลุ่มหนึ่งเรียนกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ แล้วก็ชวนกันเข้าไปฝึกปฏิบัติอยู่กลางป่า ตั้งแต่ก้าวแรกที่ภิกษุกลุ่มนั้นเหยียบย่างเข้าสู่ป่า ต่างก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน ภิกษุกลุ่มนั้นพบว่ามีบางสิ่งที่ไม่ปกติคอยคุกคามพวกตนอยู่ใกล้ๆ แล้ววันหนึ่ง เจ้าสิ่งที่คอยคุกคามให้ต้องเสียวสันหลังวูบวาบกันก็เหิมเกริมถึงขนาดปรากฏตัวให้เห็นเป็นภาพอันน่าเกลียดน่ากลัว ชวนขนพองสยองเกล้า ภิกษุกลุ่มนั้นถูกรบกวนหนักถึงขั้นนี้ก็ทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ในที่สุดต้องตัดสินใจเก็บกลด บาตร ออกจากป่า มุ่งหน้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทรงสดับ พระพุทธองค์ได้สดับแล้วทรงแย้มพระโอษฐ์พลางตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเธอมิได้นำเอาอาวุธไป”

“อาวุธอะไรหรือพระเจ้าข้า” ภิกษุนับสิบถามขึ้นพร้อมกัน

“อาวุธ คือเมตตา ยังไงล่ะ”

ว่าแล้วก็ทรงสอนวิธีแผ่เมตตาให้ภิกษุใหม่กลุ่มนั้นเรียนเอาวิธีแผ่เมตตาแล้วก็ชวนกันกลับเข้าป่าไปใหม่ คราวนี้พอเริ่มเหยียบย่างเข้าสู่เขตป่า ต่างรูปก็ต่างแผ่เมตตาโดยพร้อมเพรียงกัน

ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างจึงราบรื่นดีตั้งแต่แรกย่างเข้าสู่ป่า บรรดารุกขเทวดาอมนุษย์ทั้งหลายต่างก็อนุโมทนาสาธุการ ไม่มีแม้แต่สิงสาราสัตว์มาเพ่นพ่านกวนใจ ป่าทั้งป่าสงบสงัดเหมือนได้รับการจัดสรรไว้เพื่อรองรับพระหนุ่มเณรน้อยทั้งหลายโดยเฉพาะ เมื่อสภาพแวดล้อมเป็นใจถึงเพียงนี้ ใช้เวลาไม่นานนักภิกษุกลุ่มนั้นก็บรรลุถึงฝั่งแห่งชีวิตพรหมจรรย์กันถ้วนหน้า ได้เป็นอริยบุคคลไปตามๆ กัน

(๒) พลานุภาพของเมตตาของพระไทย

ตัวอย่างข้างต้นนี้อาจจะเก่าไปสักนิด เพราะเป็นเรื่องราวในสมัยพุทธกาล บางท่านอาจติดใจว่าไม่ร่วมสมัยและไกลตัว

ดังนั้นจะขอเล่าอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว เพราะเกิดขึ้นในประเทศไทยเรานี่เอง ทั้งยังเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนคนไทยทั้งหลายเสียด้วย นั่นคือ เมตตานุภาพของหลวงพ่อลี ธัมมธโร พระวิปัสสนาจารย์ผู้เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานของประเทศไทย

หลวงพ่อลีเคยเล่าถึงอานุภาพของการแผ่เมตตาจากประสบการณ์ตรงของตนเองไว้ว่า

“ในระหว่างที่อยู่ จ.นครสวรรค์ นี้ได้ออกไปพักอยู่ในป่าห่างจากหมู่บ้านประมาณ 20 เส้น วันหนึ่งได้ยินเสียงช้างป่ากับช้างตกมันร้องเสียงดังเพราะกำลังต่อสู้กันอยู่ สู้กันอยู่ประมาณ 3 วัน ช้างป่าสู้ไม่ได้ ถึงแก่ความตาย ส่วนช้างตกมันไม่เป็นอะไร เมื่อเป็นดังนั้น ช้างตกมันก็ยิ่งดุร้าย พลุ่งพล่านอาละวาดหนักขึ้น ได้วิ่งขับไล่ใช้งาทิ่มแทงผู้คนซึ่งอยู่ในบริเวณป่าที่เราพักอยู่

“เจ้าของช้างตกมันคือขุนจบฯ กับชาวบ้านซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นได้ขอนิมนต์ให้เข้าไปพักในบ้าน เราไม่ยอมไป รู้สึกหวาดเสียวอยู่บ้าง แต่อาศัยขันติและเชื่ออำนาจแห่งความเมตตา

“ต่อมาวันหนึ่ง เวลาบ่าย ประมาณ 16.00 น. ช้างตกมันตัวนั้นได้วิ่งมายืนอยู่ข้างหน้าที่พักของเรา ห่างที่เราพักประมาณ 20 วา ขณะนั้นเรากำลังนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ ได้ยินเสียงร้องจึงได้โผล่หน้าออกไปจากที่พัก เห็นช้างตกมันงาขาวยืนหูชันทำท่าทางน่ากลัวนึกขึ้นในใจว่า ถ้ามันวิ่งพุ่งมาหาเราชั่วระยะเวลาไม่ถึง 3 นาทีก็ถึงตัว

“เมื่อนึกเช่นนั้นก็เกิดความกลัว จึงกระโดดออกจากที่พักไปถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งห่างจากที่พักประมาณ 3 วา ขณะที่กำลังเอามือเหนี่ยวต้นไม้ ก้าวขาปีนต้นไม้ได้ข้างหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคล้ายคนกระซิบที่หูว่า “เราไม่จริง กลัวตาย คนกลัวตายจะต้องตายอีก”

“เมื่อได้ยินเสียงกระซิบเตือนเช่นนี้ จึงปล่อยมือ ปล่อยเท้า รีบเดินกลับไปที่พักนั่น เข้าที่ ไม่หลับตา หันหน้าไปทางทิศที่ช้างยืนอยู่ นั่งภาวนาแผ่เมตตาจิต ในระหว่างนี้ได้ยินเสียงชาวบ้านโห่ร้องกันดังสนั่นหวั่นไหว ตกอกตกใจว่าพระรูปนั้น (หมายถึงเรา) คงจะแย่ ไม่มีใครช่วยเหลือท่าน ได้ยินแต่เสียงพูดกันอย่างนี้ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีคนกล้าเข้ามาใกล้ตัวเราเลยแม้แต่คนเดียว

“ได้นั่งแผ่เมตตาจิตอยู่ประมาณ 10 นาที มองเห็นช้างตัวนั้นตีหูโบกขึ้นลง เสียงพึ่บพั่บๆ อยู่ประมาณสักครู่หนึ่ง แล้วก็หันหลังกลับ เดินเข้าป่าไป”

(๓) พลานุภาพแห่งเมตตาที่เป็นสากล

หากเราสามารถทำให้การแผ่เมตตาของเรามีความเป็นกลางได้ เสมือนหนึ่งสายฝนที่คงความชุ่มเย็นเสมอกัน ไม่ว่าจะตกใส่คนจน คนรวย คนดี หรือคนชั่ว และเสมือนแสงจันทร์ที่สาดโลมผืนโลกโดยไม่เลือกที่รัก ไม่มักที่ชังแล้วไซร้ เมื่อนั้นแหละการแผ่เมตตาของเราจึงจะเป็นการแผ่เมตตาในความหมายที่แท้

การแผ่เมตตาในระดับนี้เท่านั้นที่จะส่งผลเป็นความสงบร่มเย็นขึ้นมาในชีวิต และเราจะสัมผัสได้ว่า หากเราแผ่เมตตาจากหัวใจอันบริสุทธิ์ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงแล้ว ผิวพรรณของเราจะผ่องใส ใบหน้าผุดผาด ความรู้สึกก็โปร่ง โล่ง เบา เป็นอิสระ และสงบร่มเย็น จิตเป็นสมาธิ มีความฉับไวต่อการรับรู้ มีความแหลมคมต่อการขบคิดเป็นพิเศษ ไปที่ไหนหรืออยู่ที่ใดก็ตาม เราจะสัมผัสได้ถึงไมตรีจิตที่แผ่กระจายโอบล้อมอยู่รอบตัวเรา ความรู้สึกอันอบอุ่น เป็นมิตรไมตรีจากสรรพสิ่งรอบข้างเช่นนี้ จะเป็นภาวะที่คนมีเมตตาเป็นเรือนใจได้รับเป็นกำไรตอบแทนชนิดทันตาเห็นเสมอ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่การแผ่เมตตาของเรายังเป็นการแผ่เมตตาที่มี “เงื่อนไข” ผลทั้งหลายเช่นที่กล่าวมานี้หายไป และการเผยแผ่เมตตาของเราจะกลายเป็นพิธีกรรมที่ว่างเปล่า

ประสบการณ์ตรงจากต่างแดนของพระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ (ฌอน ชิเวอร์ตัน) อดีตเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี น่าจะเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการแผ่เมตตาที่เป็นสากลได้เป็นอย่างดี

พระอาจารย์ชยสาโรเคยเล่าว่า ก่อนที่จะมาปักหลักใช้ชีวิตเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาอยู่ที่ประเทศไทยอย่างยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้นั้น ช่วงหนึ่งของชีวิตหลังจากสำเร็จการศึกษา ท่านได้ใช้ชีวิตเร่ร่อนไปทั่วโลกเพื่อเสาะแสวงหาคำตอบทางจิตวิญญาณให้กับตัวเอง แล้ววันหนึ่งท่านก็พารูปสังขารอันแสนมอซอ ไม่ต่างอะไรกับลูกนกตกน้ำไปเดินหันรีหันขวางอยู่ท่ามกลางฝูงชนในนครหลวงของประเทศอิหร่าน และที่แห่งนี้เอง

“...ในขณะที่กำลังเดินโดยพยายามไม่มองร้านอาหารข้างทางที่ดึงดูดสายตาเหลือเกิน ไม่ดมกลิ่นหอมที่โชยออกมา เราได้สวนทางกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเห็นเราแล้วก็หยุดชะงัก จ้องมองเราอย่างตกตะลึงพักหนึ่ง แล้วเดินตรงมาหาหน้าตาบูดบึ้ง แล้วสั่งให้ตามเขาไปโดยใช้ภาษามือ เราเป็นนักแสวงหาเลยยอมเดินตาม เดินไปสักสิบนาทีก็ถึงตึกแถว ขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่สี่ สันนิษฐานว่าคงเป็นบ้านเขา แต่เขาไม่พูดจาอะไรเลย ยิ้มก็ไม่ยิ้ม หน้าถมึงทึงตลอด

“พอเปิดประตูเข้าไป ปรากฏว่าเป็นบ้านของผู้หญิงคนนี้จริงๆ เขาพาไปที่ห้องครัวแล้วชี้ไปที่เก้าอี้ ให้นั่ง นั่งแล้วเขาเอาอาหารมาให้กินหลายๆ อย่าง

“อาตมารู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ทำให้รู้ว่าอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกคือ อาการที่กินขณะท้องกำลังร้องจ๊อกๆ ด้วยความหิว เขาเรียกลูกชายมา สั่งอะไรก็ไม่รู้ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่สังเกตว่าลูกชายคงอายุไล่เลี่ยกับเรา สักพักลูกชายก็กลับมาพร้อมเสื้อผ้าชุดหนึ่ง พอเห็นเราอิ่มหนำสำราญแล้วก็ชี้ไปที่ห้องน้ำ สั่งให้อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ (ของเก่าน่ากลัวเอาไปเผา) เขาไม่ยิ้มไม่แย้ม ไม่พูดจาอะไรเลย มีแต่สั่งอย่างเดียว

“ขณะอาบน้ำอยู่ก็คิดสันนิษฐานว่า แม่คนนี้อาจเห็นอาตมาแล้ววาดภาพถึงลูกชายเขาเองว่า ถ้าลูกเราเดินทางไปต่างประเทศแล้วตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้ อยู่ในสภาพน่าสมเพชอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างไร เลยคิดแต่งตั้งเขาเป็นแม่กิตติมศักดิ์ประจำเมืองอิหร่าน ยืนยิ้มหน้าบานอยู่ในห้องน้ำคนเดียว

“เมื่อเสร็จเรียบร้อย เขาก็ไปส่งเราตรงจุดที่ได้เจอกัน แล้วเดินลุยเข้าไปในกระแสชาวเมืองที่กำลังเดินไปทำงาน อาตมายืนมองผู้หญิงอิหร่านคนนั้นถูกหมู่ชนกลืนหายไป รู้อย่างแม่นยำว่าชาตินี้คงไม่มีวันลืมเขาได้ อาตมาประทับใจและซาบซึ้งมาก น้ำตาทำท่าจะไหลคลอ เขาให้เราทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย ตัวสูงๆ ผอมๆ เหมือนไม้เสียบผีจากป่าช้าไหนก็ไม่รู้ เสื้อผ้าก็เหม็นสกปรก ผมก็ยาวรุงรัง แต่เขากลับไม่รังเกียจ มิหนำซ้ำยังพาเราไปที่บ้าน ดูแลเหมือนเราเป็นลูกของเขาเอง โดยไม่หวังผลอะไรตอบแทนจากเราเลยแม้แต่การขอบคุณ

“เวลาผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว อาตมาจึงอยากประกาศคุณของพระโพธิสัตว์หน้าบูดคนนี้ให้ทุกคนได้ทราบ ว่าในเมืองใหญ่ๆ ก็ยังมีคนดี และอาจจะมีมากกว่าที่เราคิด”

Thailand Web Stat