โคโลเนชั่น เฟสติวัล บัคกิ้งแฮม กับสิ่งสะท้อนความเป็นอังกฤษ
โดย...โยธิน อยู่จงดี ภาพไม่มีเครดิต
โดย...โยธิน อยู่จงดี ภาพไม่มีเครดิต
เช้าวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นวันที่อากาศสดใสที่สุดวันหนึ่งของลอนดอนในช่วงฤดูร้อน ผมกำลังยืนมองพระราชวังบัคกิ้งแฮม จากมุมหนึ่งของสวนกรีนปาร์คที่อยู่ตรงข้ามเพื่อรอเข้าร่วมงานโคโลเนชั่น เฟสติวัล บัคกิ้งแฮม 2013 ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 11-14 ก.ค.
งานโคโลเนชั่น เฟสติวัลเป็นงานจัดแสดงของดีที่สุดในอังกฤษทุกๆอย่างมารวมกันไว้ที่งานนี้เพียงงานเดียว และนับเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่เราจะเข้าร่วมชมงานระดับประเทศของอังกฤษแบบนี้ เพราะงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปี ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งพวกเขาก็ได้จัดงานเฉลิมฉลองไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา และคนที่เข้างานนี้ได้ต้องหาตั๋วเพื่อเข้าชมโดยเฉพาะซึ่งคนไทยที่อยู่อังกฤษต่างบอกว่าเป็นตั๋วที่มีราคาแพงและหาซื้อได้ยากมากๆ
เราจึงคาดหวังได้ว่าในงานนี้จะต้องมีของดีๆที่แสดงถึงความเป็นอังกฤษ มารวมไว้ที่สวนบัคกิ้งแฮมซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของพระราชวังบัคกิ้งแฮมอันเป็นสถานที่จัดงานนี้
เมื่อประตูเปิดให้เข้าชมประชาชนทั่วไปก็เริ่มทยอยเดินเข้าที่ด้านหน้าพระราชวัง ส่วนสื่อมวลชนได้เข้าทางประตูหลังที่อยู่ติดกับถนน คอนสติติวชั่น ฮิลล์ (Constitution Hill) ที่จริงแล้วการเข้าทางประตูหลังนั้นไม่ได้มีนัยยะอะไรแอบแฝง แต่เป็นเพื่อความสะดวกในการเข้าออกของสื่อมวลชนที่เข้าทำข่าวในงานนี้เท่านั้น
บรรยากาศภายในงานเป็นอย่างเรียบง่ายแต่หรูหรา ผู้คนที่เข้าร่วมงานต่างแต่งกายแนวย้อนยุคแต่ก็ดูทันสมัยในที่ ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกภาพยนตร์ที่ฉายภาพเมืองอังกฤษเมื่อ 60 ปีที่แล้ว
ตัวงานแบ่งธีมการจัดงานหลักๆออกเป็นส่วนการตกแต่งบ้านและสวนของชาวอังกฤษ,อาหารและเครื่องดื่ม,การออกแบบและเทคโนโลยี,เสื้อผ้าและเครื่องประดับ และงานแสดงในสวน ทุกอย่างจะอยู่ในธีมที่แสดงถึงความเป็นอังกฤษ ผ่านบริษัทที่ได้รับตรารับรองจากพระราชสำนักอังกฤษ ว่าเป็นสินค้าที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในราชสำนักและพระราชพิธีสำคัญต่างๆ กว่า 200 บริษัทที่เข้าร่วมงานนี้
ไฮไลท์เด่นผู้เข้าร่วมงานให้ความสนใจมากที่สุดส่วนแรกก็คือโซนของราชสำนักที่นำเอาของที่ระลึกจากงานฝีมือจากโครงการหลวงของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ที่มาจัดแสดงและออกขาย หากเทียบกับประเทศไทยก็เหมือนกับสินค้าจากศูนย์ศิลปาชีพ ทำให้เรารู้ว่าที่ราชวงศ์ของอังกฤษก็มีโครงการเพื่อช่วยเหลือประชาชนเหมือนกัน
ต่อมาก็คือส่วนแสดงรถ ทั้งจากค่ายจากัวร์ และแลนด์โรเวอร์ ต่างก็ขนรถโบราณที่เคยมีชื่อเสียง รวมทั้งรถพระที่นั่งรุ่นก่อนๆออกมาโชว์กันเต็มที่ ราวกับเป็นงานมอเตอร์โชว์ย่อมๆเลยทีเดียว
อย่างค่ายจากัวร์ก็ขนเอารถไฮบริด โปรโตไทป์ CX75 ซึ่งปรกติแล้วจะเห็นแค่ตัวโชว์แต่ในงานนี้สามารถเข้าไปทดลองนั่งได้เลยแต่ที่เด่นสุดก็เห็นจะเป็นรถ ลีมูซีน สีแดงเลือดหมู ของเบนซ์ลีย์ ซึ่งเป็นรถพระที่นั่งของควีนเอลิซาเบธ ที่ 2 ซึ่งใช้งานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 มาให้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด
ไม่เพียงแค่เรื่องรถที่โดดเด่นอาหารการกินของชาวอังกฤษ ก็มีเอกลักษณ์ที่ไม่แพ้กันที่คนไทยรู้จักกันดีก็มีอย่าง ชาแบรนด์ทไวนิงส์ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ใช้ในราชสำนักอังกฤษก็มีโชว์ในงานนี้ แถมสตีเฟ่น ทไวนิงส์ ผู้บริหารและทายาทรุ่นที่ 10 ของทไวนิงส์ ก็ลงมาชงชาให้กับแขกที่เข้าร่วมงานด้วยมือตัวเอง แถมยังมีขนมปังของวอร์คเกอร์ออกบูธขายในงานอีก คราวนี้เราเลยได้ชิมชารสขมอ่อนๆโชยกลิ่นหอมรับประทานคู่กับขนมปังหวานแบบชาวอังกฤษไปกับเขาด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีไวน์ชั้นดีของอังกฤษที่ได้รับการรับรองมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าจอร์จที่ 3 ชิมช็อคโกแลตจากสุดยอดนักทำช็อกโกแลตของอังกฤษ และยังมีการสาธิตปรุงอาหารและเครื่องดื่มที่ใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2ในปี พ.ศ.2496 จากเชฟระดับโลกอย่าง จอห์นนี่ เลค และ แอชลี่ พัลเมอร์ วัตต์ มาสาธิตการปรุงเมนู แฟต ดักส์ ให้ได้ชิมกันในงานอีกด้วย
เดินผ่านโซนอาหารที่คับคั่งไปด้วยผู้ดีอังกฤษจะเห็นโซนเวทีแสดงคอนเสิร์ต ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังวังบัคกิ้งแฮม เวทีนี้เมื่อมองไปด้านบนจะอยู่ติดกับห้องทรงงานและท้องพระโรงด้านหลังของวังพอดี กลายเป็นฉากหลังที่มีความงดงามที่เราจะได้รอชมในช่วงค่ำ
แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นอีกด้านหนึ่งของสวนบัคกิ้งแฮมก็ดูคึกคักขึ้นมาทันตามีการแสดงละครเพลงเล็กๆสไตล์บัลเลต์แฟนตาซีของเด็กๆจากสถาบัน เดอะ เนชั่นแนล ยูธ บัลเลย์ ในส่วนแคทวอร์คแสดงแฟชั่นโชว์ใต้ต้นไม้ใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมได้อย่างล้นหลาม
สลับกับการร้องเพลงประสานเสียงและการเดินแบบจากแบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของอังกฤษอย่าง DAKS, Austin Reed, Hunter Boots, Ettinger และ John Lewis
จบจากแคทวอล์คค่อยเดินไปนั่งเล่นและรับประทานอาหารในส่วนของสวนกุหลาบที่ปลูกไว้อย่างงดงาม ในจุดนี้เราจะได้เห็นวัฒนธรรมของชาวอังกฤษในการรับประทานอาหาร นั่งพูดคุยสนทนากันอย่างออกรสราวกับพวกเขาไม่ได้เจอกันมานานมากและที่สำคัญเราแทบจะไม่เห็นการก้มหน้าใช้สมาร์ตโฟนเหมือนของคนอังกฤษที่เข้าร่วมงานนี้เลย ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหาร ชมดอกไม้ และสนทนากับมิตรที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าในจอ
จวบจนถึงช่วงค่ำงานแสดงคอนเสิร์ตฉลองการครองราชย์ก็ได้เริ่มขึ้น แรกๆเมื่อดูกำหนดการเราต่างก็คิดว่าคงเป็นการแสดงที่ไม่หวือหวามากนัก มีเพลงโอเปร่า กับเพลงคลาสสิคสไตล์อังกฤษให้ได้ฟัง แต่พอถึงเวลาจริงๆแล้วกลับเป็นการแสดงที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ
มีทั้งร้องเพลงประสานเสียงจากวงโอนลี่ บอย อะราวนด์ (Only Boys Aloud) ที่เข้าประกวดบริติช ก๊อต ทาเลนซ์ เพลงคลาสสิกที่ขับร้องโดย แคทเธอรีน เจนคินส์ (Katherine Jenkins) นักร้องโอเปร่าระดับโลก รัสเซล วัตสัน (Russell Watson) สลับกับการแสดงสไตล์บรอดเวย์ และละครเพลงของเด็กๆ
ทำให้ภาพรวมของงานนี้ทั้งหมดเรียกได้ว่าเต็มอิ่มไปด้วยเรื่องราวของอังกฤษ ใครที่ไม่รู้จักอังกฤษก็ได้สัมผัสความเป็นอังกฤษทั้งหมดได้ในงานเดียวแม้กระทั่งงานแสดงคอนเสิร์ตที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ก็กลับทำออกมาได้ดีทั้งคุณภาพแสง สี และเสียงระดับโลก สมกับเป็นงานเฉลิมฉลองครองราชย์ครบ 60 ปี เป็นงานที่โชว์ความเป็นอังกฤษได้อย่างดีที่สุดเท่าที่มีมา