ชีวิตชัดเจน เบน ชลาทิศ

05 ตุลาคม 2556

ถ้าถามผมว่า มีนักร้องไทยสักกี่คนที่เกิด เติบโต และมีชีวิตอยู่เพื่อ “ร้องเพลง” แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมี “เบนชลาทิศ ตันติวุฒิ”

โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

ถ้าถามผมว่า มีนักร้องไทยสักกี่คนที่เกิด เติบโต และมีชีวิตอยู่เพื่อ “ร้องเพลง” แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมี “เบนชลาทิศ ตันติวุฒิ” เจ้าของคอนเสิร์ต “Born To Be Ben ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้” ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเย็นวันเสาร์ที่ 5 ต.ค.นี้ ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี

หากคุณถามว่า ช้าไปไหม หากผมจะจับเอาเจ้าของคอนเสิร์ตมานั่งพูดคุยเพื่อโปรโมตคอนเสิร์ตอันจะนำไปสู่ยอดจำหน่ายบัตร ผมว่าไม่ช้าไปหรอกครับ เพราะบัตรคอนเสิร์ตนี้ “Sold Out” ไปก่อนหน้านี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องราวรวมทั้งคำคมจากคมคนที่ชื่อ เบน ชลาทิศ จึงไม่ใช่การโปรโมตคอนเสิร์ตแต่อย่างใด แต่เป็นการพุดคุยเพื่อให้เห็นถึงเนื้อแท้ข้างใน ความคิด และความซื่อสัตย์ที่เขามีต่อตัวเองและต่อสิ่งที่เขารัก นั่นคือการเกิดมาเพื่อร้องเพลง

“ผมเกิดมาในครอบครัวปานกลาง เป็นลูกคนเดียว ที่บ้านชอบดนตรี ปู่ ย่า ลุง น้า ชอบฟังเพลง ชอบร้องเพลง ผมเลยได้รับอิทธิพลในการฟังเพลงที่หลากหลาย ทำให้ชอบฟังเพลง ชอบร้องเพลง และชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งที่บ้านเป็นครอบครัวปาร์ตี้ เวลามีงานรื่นเริงมักจะปิดซอยเลี้ยงและเชิญทุกคนมาปาร์ตี้บ้านเพื่อมาร้องเพลงกับวงของคุณลุงคุณป้าที่เป็นเพื่อนของคุณแม่”

เบน เล่าว่า เมื่อเข้าเรียนในโรงเรียน วิชาที่เขาชอบมากที่สุดคือวิชาดนตรี เวลามีงานโรงเรียน เขาจะขอขึ้นไปร้องเพลงเสมอๆ

ชีวิตชัดเจน เบน ชลาทิศ

 

“ผมเป็นคนไม่ชอบเรียนเท่าไหร่ เพราะไม่มีวิชาไหนที่ผมอยากเรียน ผมเลยเลือกที่จะทำกิจกรรม โดยเฉพาะการร้องเพลงนี่แหละ หรือไม่ก็ทำโชว์ต่างๆ โดยผมเป็นคนควบคุมโชว์ จนมาถึงมหาวิทยาลัย ผมต้องตัดสินใจว่าจะเลือกเรียนอะไร วิศวะก็ไม่ใช่ วารสารก็ไม่ใช่ หมอก็ไม่ใช่ นอกจากสิ่งที่ใช่ นั่นคือการร้องเพลง จนคุณแม่เห็นวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดรับสมัครอยู่ ด้วยความที่ผมพอมีพื้นฐานเปียโน ก็ทำให้เราอ่านโน้ตได้ พอเราไปสอบ ก็สอบได้ เลยได้เข้าเรียนที่นั่น สาขาการขับร้อง”

จากเด็กที่เรียนในระดับปานกลางและเป็นเด็กที่คิดมาตลอดว่าโลกใบนี้ไม่ใช่ของเขา เขาไม่ชอบการเรียนเลย แต่พอได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีเสียงดนตรี มีสภาพแวดล้อมที่ทั้งชอบและใช่ ทำให้เขาค้นพบว่าคนเราจะทำอะไรได้ดี ต้องอยู่ในบรรยากาศ หรือได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก “เชื่อไหมว่าชีวิตการเรียนของผม มันไม่เหมือนเรียน มันเหมือนเรากำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จากเด็กที่เคยเรียนได้สองกว่า กลับได้สามจุดแปด พอได้เรียนร้องเพลงแล้วทำให้ผมไม่อยากเรียนอะไรอย่างอื่นอีกเลย”

เบน เผยว่า เขาโชคดีที่ได้เรียนร้องเพลงคลาสสิก ซึ่งเป็นศาสตร์ตั้งแต่สมัยโบราณ “เคยมีคนถามว่าทำไมเวลาร้องโอเปราถึงต้องทำเสียงใหญ่ เป็นเพราะสมัยก่อนไม่มีไมโครโฟน คนร้องต้องร้องเพลงให้ทะลุเครื่องดนตรี ต้องร้องให้คนฟังในฮอลล์ได้ยินเสียงของเรา ซึ่งพอผมได้เรียน ทำให้ผมได้รู้การโปรเจกต์เสียงที่ถูกต้องและเทคนิคการร้องเพลงที่ไม่ทำให้เจ็บคอ”

ในช่วงที่เขาเรียนอยู่นั้น เขาได้ฟอร์มวงร่วมกับเพื่อนๆ พี่ๆ ในคณะมาทำเพลงกันเอง แล้วช่วงนั้นมีแฟตเรดิโอที่เปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ที่ทำเพลงกันเองส่งไปให้ทางคลื่นวิทยุ เบน ชลาทิศ และวงของเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น “วงของผมชื่อว่า โมโนโทน เราส่งเพลงไปให้แฟตเรดิโอ พอเพลงได้เปิดในแฟต เพลงก็ไปเตะหูพี่บอย โกสิยพงษ์ พี่บอยก็เลยชวนเราเข้าไปทำเพลง”

ด้วยความที่ เบน เสพดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เขาเลยเชื่อว่าการเป็นนักร้อง ต้องร้องเพลงได้ ต้องฟังเพลงเป็น ส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตามันเป็นเรื่องของการปรุงแต่ง “อย่างที่พี่บอยเลือกผมก็เพราะเสียงร้องของผม ไม่ใช่หน้าตารูปร่างเลย”

จากเพลงแรกคือเพลง ใกล้ ไล่เรียงมาจนถึงการรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ อีก 4 คน (เค้ก, มาเรียม, โต๋ และคิว) ในนาม บี จนมาถึงอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง สิ่งที่เขาต้องประสบพบเจอนอกจากเสียงตอบรับที่ดียังมีวิกฤตเทปผีซีดีเถื่อนที่เขาหลีกเลี่ยงไม่พ้น “มีโชคร้าย ก็ยังมีโชคดีหลงเหลืออยู่ครับ โชคดีที่ผมพอมีรายได้หลักคือการร้องเพลงตามคอนเสิร์ตต่างๆ ซึ่งผมมีโอกาสได้ขึ้นไปร้องเพลงตามคอนเสิร์ตต่างๆ ของค่ายต่างๆ ทำให้คนเห็นการเพอร์ฟอร์มของเรามากขึ้น ทำให้คนหลายๆ กลุ่มได้รู้จักเรามากขึ้น แถมยังมีกลุ่มแฟนคลับบ้าง มีตั้งแต่เด็กมัธยม สาวออฟฟิศ จนถึงคุณแม่จูงลูกมาดู ก็ถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆ ของชีวิตครับ”

มาจนถึง ณ โมเมนต์หนึ่งของชีวิต โมเมนต์ที่เขาได้เปิดเผยผ่านสื่อว่าอยู่กินกับแฟนหนุ่มมานานแล้ว (จนถึงวันนี้ก็ร่วม 10 ปี) เบน เผยว่า เขาไม่เคยปิดบัง เพียงแต่ไม่เคยมีใครถาม เมื่อถาม เขาก็ตอบ ก็เท่านั้น

“ผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ใครที่ร่วมงานกับผมจะรู้ว่าผมก็เป็นอย่างนี้ การที่ผมเป็นเกย์ ผมไม่ได้มองว่าคนจะมองเกย์ยังไง ผมก็ใช้ชีวิตของผมไป เพราะผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน และโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ขาวหรือดำ หรือมีแค่หญิงหรือชาย โลกใบนี้มีเพศอีกตั้งมากมาย และผมไม่ใช่คนสับสนทางเพศ คนสับสนทางเพศคือคนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรแล้วทำไม่ได้ รู้ว่าตัวเองชอบอะไรแล้วหลีกหนีหรือปิดกั้น คนที่ซื่อสัตย์กับตัวเองจะได้รับการให้เกียรติจากผู้อื่น เพราะฉะนั้นเราต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง รักตัวเอง แล้วเราจะเผื่อแผ่ความรักไปให้คนอื่นได้ นี่คือคติประจำใจของผมครับ”

เบน เผยว่า กับความรักครั้งนี้ ไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก ยิ่งคบกัน ยิ่งแปรเปลี่ยนให้ความรักกลายเป็นความเข้าใจกันมากขึ้น

“เราสองคนต่างพยายามมองทุกอย่างให้รอบด้าน เราอาจพบเจอทั้งสิ่งที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ซึ่งหากเราคบกันอย่างมีเหตุผล นี่จะทำให้การคบกันกลายเป็นความเข้าใจกันมากขึ้น แต่ยังไงก็ตาม ผมเชื่อว่าการมีใครสักคนอยู่เคียงข้างทำให้เราอุ่นใจนะ เวลาที่เราเหนื่อย เราท้อแท้ เราไปทะเลาะกับใคร พอกลับมาบ้านเจอคนที่เข้าใจเรา ก็ทำให้เราเบาใจได้มากขึ้น”

จากนักร้องที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง กับความรู้สึกของตัวเอง และกับเพศของตัวเอง จนมาถึงอีกบทบาทหนึ่ง นั่นคือการเป็นนักแสดงละครเวทีในรูปแบบมิวสิเคิล เบน เผยว่า นี่คือเส้นทางที่เขาพุ่งเข้าหา มิใช่ใครจะพุ่งเข้ามาอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ

“สำหรับการเล่นละครเวทีแนวมิวสิเคิล จุดเริ่มต้นมาจากตอนที่ผมเรียนที่มหิดล ผมก็ได้เรียนวิชามิวสิเคิล ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งที่ผมชอบมาก ถือว่ารักวิชานี้ รักศาสตร์นี้ไปเลย ทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าเราได้แสดงละครเวทีแนวมิวสิเคิลจริงๆ ก็คงจะดีนะ เพราะมันจะได้พิสูจน์ตัวเราเองว่าเราก็ทำสิ่งนี้ได้ดีไม่แพ้การร้องเพลงเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้ร้อง เล่น และเต้น”

เบน เผยว่า จนมาถึงวันหนึ่ง เขาทราบข่าวว่า “หง่าวยุทธนา มุกดาสนิท” กำลังจะทำละครเวทีเรื่อง สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ และเขาได้ข่าวว่า ยุทธนา กำลังตามหาคนมาเล่นเป็น ซานโซ ผู้ช่วยของ ดอน กิโฮเต้ อยู่ นั่นจึงจุดประกายความฝันนี้ของเขาขึ้น

“บังเอิญว่าบทบาทนี้เป็นบทที่เราชอบ เราอยากเล่น ผมเลยขอพี่หง่าวไปเล่น ไปออดิชัน แล้วผมก็ได้เล่นสมความตั้งใจ”

จนมาถึงบทบาทที่เขาอยากเล่นมากที่สุด และก็ได้เล่น แถมเล่นได้ดีเสียด้วย นั่นคือบท เอนจิเนีย

ในละครเวทีเรื่อง มิสไซง่อน ฉบับภาษาไทย

“บทเอ็นจิเนียนี้เป็นบทที่ผมได้เรียนในมหาวิทยาลัยแล้วผมชอบมาก มันท้าทาย มันมีอะไรให้เล่นเยอะ ผมรู้สึกว่าบทนี้คนแต่งต้องแต่งมาจากชีวิตเรา เอาชีวิตฉันไปแต่งแน่ๆ (หัวเราะ) ถ้าคนอื่นเล่นน่ะ ผิด ผมมั่นใจว่าบทนี้ต้องเป็นผม เขาไม่ได้เรียกผมไปออดิชันหรอก ผมรู้มาจากเพื่อนว่าเขากำลังจะทำละครเวทีเรื่องนี้ ผมก็ถามว่าใครเป็นเอ็นจิเนีย แถมยังโทรถามทีมงานที่ผมรู้จัก พร้อมกับเหน็บไปเบาๆ ว่าทำไมไม่เรียกเรา (หัวเราะ) ผมก็เลยขอไปออดิชัน แล้วก็ได้บทนี้สมดังตั้งใจอีกครั้งหนึ่ง”

มาจนถึงวันนี้ เบน ชลาทิศ ก็ยังคงเหยียบย่ำเดินบนผืนโลกใบนี้ด้วยการร้องเพลง เขาเผยว่า การร้องเพลงเป็นงานหลัก และเขาก็ไม่ได้ทำอาชีพเสริมใดๆ

“ผมเป็นคนที่ทำในสิ่งที่ชอบ ถ้าเราไม่รักชอบ เราก็ไม่ทำ ผมต้องขอบคุณตัวเองที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง รู้ว่าตัวเองชอบอะไร และพยายามฝึกฝนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ผมอยากบอกว่า ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิตในทุกๆ วันนะ ผมไม่ได้จะบอกว่าผมมีความสุขมากกว่าคนอื่น แต่ว่าผมพอใจในชีวิตของตัวผมเอง ก็แค่นั้น แม้ว่าผมจะเหนื่อย จะท้อแท้บ้าง แต่ทุกคนก็ต้องเจอเรื่องสุขและเรื่องเศร้าเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราควรต้องค้นหาความสุขอันแท้จริงของตัวเองให้เจอ ซึ่งผมเจอแล้ว นั่นคือการได้ร้องเพลง การร้องเพลงเหมือนการหายใจ มันง่ายดายแบบนี้แหละ ไม่ได้ซับซ้อนอะไร คนที่มีชีวิตซับซ้อนคือคนที่ชอบประดิษฐ์”

หากชีวิตอันแสนซื่อสัตย์และชัดเจนของผู้ชายชื่อ เบน ชลาทิศ จะสะท้อนมุมมองอะไรบางอย่างให้คนธรรมดาๆ อย่างเราๆ ท่านๆ ได้ฉุกคิดบ้าง นี่คงเป็นมุมมองที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างน้อยๆ ก็สะท้อนให้เราได้เห็นว่า ยิ่งเราเติบโต เราต้องยิ่งใช้ชีวิตแบบซับซ้อนให้น้อยที่สุด แล้วเราจะเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความสุขเพิ่มมากขึ้นทุกวัน คุณว่าจริงไหม สำหรับผม ผมว่ามันจริงนะ หรือคุณว่าไง?

Thailand Web Stat