ระวังภัยเบาหวานคุกคาม
หลายคนอาจไม่รู้ว่าวันที่ 14 พ.ย.ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหยกๆ เป็นวันเบาหวานโลก ตามที่สหพันธ์เบาหวานนานาชาติ
โดย...พญ.วรรณี นิธิยานันท์
หลายคนอาจไม่รู้ว่าวันที่ 14 พ.ย.ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหยกๆ เป็นวันเบาหวานโลก ตามที่สหพันธ์เบาหวานนานาชาติและองค์การอนามัยโลกร่วมกันประกาศในปี 2534 ในเล่มนี้ แนะนำให้รู้จักกับ ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี นิธิยานันท์ นายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย และอาจารย์ประจำสาขาวิชาต่อมไร้ท่อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสถานการณ์โรคเบาหวาน รวมถึงวิธีป้องกัน เตรียมใจเผชิญกับโรคนี้
พญ.วรรณี บอกว่า ขณะนี้จำนวนผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกมีมากกว่า 371 ล้านคน และหากไม่ดำเนินการใดๆ ในปี 2573 ผู้ป่วยเบาหวานจะเพิ่มขึ้นเป็น 552 ล้านคน โดย 80% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดเป็นประชากรในประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา โดยในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา คือระหว่างปี 2552-2556 เรื่องที่รณรงค์คือ “Diabetes Education and Prevention” หรือ “การให้ความรู้และป้องกันโรคเบาหวาน” คำขวัญสำหรับปี 2556 คือ “Diabetes: Protect Our Future” ใช้ภาษาไทยว่า “พิทักษ์อนาคตไทย พ้นภัยเบาหวาน” และข้อความที่ต้องการสื่อสารในปีนี้คือ จำนวนประชากรที่เป็นเบาหวานเพิ่มมากขึ้น ครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นเบาหวานไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคอยู่ ผลร้ายที่เกิดจากโรคเบาหวานคือ โรคหัวใจ ตาบอด ไตวาย และถูกตัดขา และคนที่เป็นเบาหวานไม่ต่างจากคนทั่วไป ต้องไม่แบ่งแยกออกจากสังคม
ทั้งนี้ โรคเบาหวานมี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ร่างกายหยุดการสร้างอินซูลิน และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากที่ร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน แม้สาเหตุจะยังไม่ทราบชัดเจน แต่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถป้องกันได้ โดยการสร้างเสริมสุขภาพ อย่าให้น้ำหนักตัวมากเกิน ดำรงชีวิตด้วยหลัก “3 อ. 2 ส.” ได้แก่ อ.แรกอาหาร เลือกรับประทานอาหารไม่หวานจัด มันน้อย เค็มน้อย รับประทานปริมาณเหมาะสม มีผักและผลไม้พอเหมาะ อ.2ออกกำลังกายประมาณ 5060 นาที อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ หรือให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ อ.3อารมณ์ ไม่ตึงเครียด จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ทำจิตให้สงบ มีสมาธิ ส.แรกงดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงจากสถานที่ที่มีควันบุหรี่ ส.2งดดื่มสุรา
นอกจากนี้ นายกสมาคมโรคเบาหวานฯ ยังแนะนำว่า ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้เคียงปกติ และลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยทำให้เกิดความสมดุลทั้งในด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และการใช้ยารักษา ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ
“ผู้ที่เป็นเบาหวานถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ระดับน้ำตาลในเลือดควบคุมไม่ได้ ในระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ทั้งหลอดเลือด ระบบประสาทส่วนปลาย และอวัยวะอื่นๆ นำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนในอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ตา ไต เส้นประสาทและสมอง หัวใจ หรือเกิดปัญหาที่เท้า รวมทั้งแผลเรื้อรังที่เกิดจากโรคเบาหวาน การเกิดภาวะแทรกซ้อนส่งผลให้เกิดความพิการทางร่างกาย กระทบต่อการประกอบอาชีพ” พญ.วรรณี ระบุ