แค่คนธรรมดา...ที่อยากมีความสุข
เป็นเรื่องประจำในแต่ละปี ที่ฉันต้องหาเวลาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองครั้งเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริงให้กับตัวเอง
โดย...www.facebook.com/pages/ปูปรุง ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์
เป็นเรื่องประจำในแต่ละปี ที่ฉันต้องหาเวลาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองครั้งเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริงให้กับตัวเอง ส่วนมากก็จะเป็นช่วงปลายปีครั้งหนึ่ง และต้นปีถัดไปอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อไม่นานมานี้ฉันก็ได้ใช้เวลาสำหรับการพักผ่อนที่ว่า เพื่อไปสำรวจใจตัวเองเงียบๆ เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก
ตั้งแต่เริ่มต้นเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมเรื่อยมาเมื่อปี 2546 มีคำพูดหนึ่งที่ตัวเองชอบมากเลย คือ คนเราควรจะหาโอกาสในการได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน...สักครั้งหนึ่งในชีวิต และสิ่งนั้นโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่มีอะไรที่จะไพเราะและลึกซึ้งเท่ากับพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์อีกแล้ว ตอกย้ำคำกล่าวที่ว่า คำสอนของพระพุทธองค์นั้น ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ....และไพเราะในที่สุด ซึ่งมีอยู่ในบทสวดมนต์ที่เราต่างคุ้นเคยกันดี และคงเพราะเหตุนี้เอง ทุกครั้งที่กลับมาจากคอร์สต่างๆ เหล่านั้น จึงรู้สึกเหมือนตัวเองได้สิ่งใหม่ๆ กลับมาด้วยทุกครั้งเสมอ หรือไม่ก็เป็นความรู้เดิมที่ถูกขยายให้กว้างขวางและลึกซึ้งขึ้นจากที่เคยรับรู้ บางครั้งก็เป็นพุทธวจนะโดยตรงจากพระโอษฐ์ บางครั้งก็เป็นการถ่ายทอดที่ถูกทำให้เข้าใจง่ายขึ้นจากพระวิปัสสนาจารย์บ้าง
ครั้งนี้ก็เช่นกันค่ะ มีหลายเรื่องราวที่ได้รับรู้และอยากนำมาแบ่งปัน และข้อความที่ตัวเองได้จดไว้ในบันทึกหน้าแรกก็คือ “ทุกครั้ง...ที่เรา ‘คิด’ จะส่งผลกระทบใจเราเสมอ และทุกครั้ง...ที่เรา ‘ทำ’ ก็ย่อมส่งผลกระทบโลกด้วยเช่นกัน บุญ หรือ บาป กุศล หรือ อกุศล จึงเกิดจาก ‘กรรมและเจตนา’ เมื่อทั้งสิ่งที่เราคิดและทำ มีผลกระทบเชื่อมโยงเกิดขึ้น ท่านจึงสอนให้เราใช้สติไตร่ตรองให้ดีก่อนทุกครั้งที่จะคิดหรือทำอะไรขึ้นมาสักอย่าง เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งกับเราและโลกนั้น ย่อมเป็นผลที่มาจากเหตุอันเกิดจากตัวเราทั้งสิ้น
พระอาจารย์ท่านจึงแนะนำว่า ในแต่ละวันเราควรอยู่กับตัวเอง 90% และอยู่กับสิ่งภายนอกแค่ 10% ก็พอ การอยู่กับตัวเอง หมายถึง การตามรู้ตามดูให้ทันกับสิ่งที่เข้ามาสัมผัส กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น สัมผัสกาย และใจของเรา เป็นการเจริญสติเพื่อระมัดระวัง กายใจ ของเรา โดยอาศัยตัวเองเป็นครูนั่นเอง ส่วนอีก 10% ที่ว่านั้น ก็ให้เป็นเรื่องของการดำรงชีวิต เป็นเรื่องของการประกอบกิจการงานอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไป สุดท้าย หนีไม่พ้นที่จะต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเอง สังเกตตัวเองดู แล้วก็ได้แต่อมยิ้มในใจ ผสมกับถอนหายใจด้วยนิดหน่อย”
แล้วคุณล่ะคะ ได้จัดแบ่งเปอร์เซ็นต์ในการใช้ชีวิตในทุกๆ วันกันอย่างไรบ้าง? ในแต่ละวันได้เก็บเกี่ยวสิ่งใดเข้ามาสู่ใจ รู้สึกใจโปร่งโล่งเบาแค่ไหน และเชื่อว่าคุณคงจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ชัดขึ้น เมื่อได้กลับมาอยู่กับตัวเองเงียบๆ และใช้ใจที่สงบนั้นในการเฝ้ามองให้เห็นความจริงที่เป็น
สรุปได้ว่า ตลอดช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกจากจะมีโอกาสได้สำรวจใจตัวเองแล้ว ฉันคิดว่ามันยังทำให้เราสามารถกะเทาะอัตตาที่ห่อหุ้มตัวเองออกไปด้วยเช่นกัน มีอยู่ช่วงหนึ่งในวันสุดท้ายของการปิดคอร์ส ซึ่งเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้พูดเปิดใจ หรือพูดแสดงความรู้สึกที่ได้รับต่อการเข้ามาฝึกฝนตัวเองในครั้งนี้ หลายๆ คนพูดตรงกันว่า เหมือนเราได้เก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ กลับบ้านเพื่อไปใช้ต่อ และหลายคนบอกว่า จะพยายามฝึกฝนให้มากขึ้น
แต่มีน้องผู้ชายคนหนึ่งที่พูดได้สะกิดใจฉันเหลือเกิน เขาบอกว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้ว่าการเข้ามาปฏิบัติธรรมคืออะไร ได้แต่ใช้ชีวิตในแต่ละวันไปเรื่อยๆ เหมือนคนวัยหนุ่มที่เริ่มต้นทำงานคนหนึ่ง คือ ตื่นเช้าไปทำงาน แล้วก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงต่อ สุดท้ายเหนื่อยก็กลับมานอน แล้วก็ตื่นขึ้น ใช้ชีวิตวนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ คล้ายกับนาฬิกา ที่เดินต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งถ่านหมดก็เปลี่ยนถ่านใหม่แล้วนาฬิกาก็เดินหมุนวนต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ชีวิตคนเราควรจะมีอะไรมากกว่านั้นในแต่ละวันที่ต้องดำเนินต่อไป เราควรพิจารณาวิธีการดำเนินชีวิตด้วย ถ้าวิถีเดิมๆ ที่เราทำอยู่ซ้ำๆ ไม่เคยสร้างคุณค่าใดๆ ให้กลับคืนมาสู่ชีวิตเลย สมควรรึเปล่า? ที่จะต้องเปลี่ยนแปลง และที่อยากเสริมก็คือ เราไม่จำเป็นต้องรอปรับหรือเปลี่ยนก็ต่อเมื่อมีความทุกข์เข้ามารบกวนชีวิตหรอก ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนั้น ตัวเลข 90 และ 10 ที่พระอาจารย์บอกจึงมีความน่าสนใจอย่างมาก
หากทุกคนสามารถใช้เวลาที่มีให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงแล้ว เราคงมีสิ่งดีๆ ให้เก็บเกี่ยวได้ในทุกๆ วัน เพราะการมองโลก มองตัวเอง และการเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งจะเปลี่ยนไป อาจอยู่ในจุดที่สมดุลมากขึ้น ซึ่งส่งผลอย่างแน่นอนว่า เราก็สามารถเป็นคนธรรมดา...ที่มีความสุขได้เสมอ จริงๆ แล้วนั้น ความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนมาจากการที่เรามีเสียงข้างในใจที่ดังมากตลอดเวลา เช่น “ทำไม? โน่น นี่ นั่น...” อยู่ตลอดเวลา
วิธีดับความทุกข์ที่ดีที่สุด คือ การสลายเสียงในใจเหล่านั้นให้เงียบลง เมื่อเสียงเงียบได้ ความสงบก็จะเข้ามาแทนที่ ความทุกข์ก็จะเจือจางลงแล้วจึงทำความเข้าใจความทุกข์เหล่านั้นใหม่ว่า มันเกิดจากรากเหง้าบางประการของความคาดหวังและความปรารถนา เมื่อเราทำความเข้าใจได้ เราก็จะสามารถอยู่กับความทุกข์ต่างๆ ได้ และมีชีวิตอย่างอ่อนโยนขึ้น
มีคำกล่าวว่า ปุถุชนมักจะโดนธนูสองดอก แต่อริยบุคลจะโดนธนูแค่ดอกเดียว หมายความว่า คนส่วนใหญ่เมื่อมีทุกข์กายแล้ว ก็มักจะมีทุกข์ใจด้วย คนทุกข์กายและทุกข์ใจด้วย จึงเหมือนโดนธนูสองดอก ก็อยู่ที่เราแล้วล่ะค่ะ ว่าจะเลือกให้ตัวเองเจ็บตัวสองต่อหรือเปล่า