ไทยแลนด์ แดนแห่งรัก
เสียงระเบิดพร้อมเขม่าควันปืนบนความขัดแย้งที่ร้อนระอุในกรุงเทพฯ อาจทำให้คนไทยและชาวโลกส่วนหนึ่งเข้าใจว่า รอยยิ้มของสยามกำลังเหือดหาย
โดย...กองบรรณาธิการ
เสียงระเบิดพร้อมเขม่าควันปืนบนความขัดแย้งที่ร้อนระอุในกรุงเทพฯ อาจทำให้คนไทยและชาวโลกส่วนหนึ่งเข้าใจว่า รอยยิ้มของสยามกำลังเหือดหาย และความรักที่เคยมีให้กันในสังคมกำลังแปรเปลี่ยนไปสู่สงครามการเมืองแห่งความเกลียดชัง
ทว่า ในมุมมองของชาวต่างชาติเฉพาะกลุ่ม ไทยแลนด์จะเป็นแดนแห่งมิคสัญญีไปได้อย่างไร ในเมื่อประเทศแห่งนี้คือ “ดินแดนแห่งรัก” ที่เปิดกว้างให้กับคนทุกเพศสภาพโดยที่ไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริง
14 ก.พ. วันวาเลนไทน์แห่งความรัก อาจเป็นวันแห่งโอกาสที่ช่วยให้หนุ่มสาวบอกความในใจโดยไม่เคอะเขินเหมือนยามปกติ ทว่าสำหรับ “ชาวสีม่วงจากทั่วทุกมุมโลก” ไทยแลนด์คือแดนแห่งความรักโดยเสรีที่ทุกวันล้วนเป็นโอกาสให้กลุ่ม LGBT (เลสเบียน เกย์ ไบเซ็กชวล และกลุ่มข้ามเพศ) สามารถแสดงถึงอิสรภาพทางเพศที่แบบไม่เคยได้รับในบ้านมาก่อน และนับเป็นประเทศที่เปิดกว้างในเรื่องเพศมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
“การท่องเที่ยวสีชมพู” (Pink Tourism) นับเป็นความชัดเจนของการเปิดกว้างที่แม้แต่หน่วยงานของรัฐอย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สาขานิวยอร์ก ยังต้องจัดทำแคมเปญดึงดูดนักท่องเที่ยวสีม่วงที่ถือเป็นตลาดนิชมาร์เก็ต ในโฆษณาที่ชื่อว่า Go Thai Be Free เพื่อให้ทั่วโลกได้รู้ว่าประเทศไทยเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่เปิดกว้างต่อเรื่องเพศเพียงใด และยังนับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่มีการออกโฆษณาจากภาครัฐ เพื่อเจาะตลาดรักร่วมเพศ
ข้อดีข้อเด่นของชาวสีม่วงที่มาท่องเที่ยวก็คือ คนไทยเปิดกว้างในเรื่องเพศจนไม่มีการเหยียดเพศในสังคมส่วนใหญ่ ทำให้ไม่ต้องมีการจำกัดโซนสำหรับกลุ่ม LGBT ที่สามารถเดินทางได้อย่างเสรีตั้งแต่เหนือจรดใต้ อาจเรียกได้ว่า ไทยแลนด์เป็นแดนที่เปิดกว้างในเรื่องเพศยิ่งกว่าประเทศเสรีอย่างสหรัฐ ที่หลายรัฐก็ยังไม่สามารถยอมรับในเรื่องนี้ได้
ชู กม.รับรองสิทธิรักร่วมเพศ
โจนัส เดพท์ นักเปียโน ชาวฝรั่งเศส วัย 30 ปี ซึ่งใช้ชีวิตคู่กับหนุ่มชาวไทย ปัจจุบันพำนักในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่มาร่วม 6 ปี ให้ความเห็นว่า เมืองไทยได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งยิ้มสยาม อากาศดี อาหารอร่อย และยังเป็นเมืองในอุดมคติที่ใครๆ อยากมาตามหารัก เพราะคนไทยเป็นมิตร สุภาพ มีความสง่าในตัวเอง ชอบสนุกสนาน แต่บางครั้งก็ทำอะไรแปลกๆ และด้วยความที่คนไทยใจกว้าง ทำให้การพบปะเพื่อนใหม่เป็นเรื่องง่าย บางครั้งอาจถึงขั้นตกหลุมรักได้เลยทีเดียว
“ผมพูดแบบนี้ได้ เพราะเจอมากับตัวเอง และผมคิดว่าชาวต่างชาติจำนวนมากก็เจอเรื่องทำนองนี้มาเหมือนกัน” โจนัส ระบุ
กล่าวกันว่า ถ้าเทียบในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ไทยมีข้อได้เปรียบอย่างมาก เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งโดยเฉพาะชาติมุสลิม เช่น มาเลเซียและบรูไน ต่างมีกฎหมายเอาผิดรักร่วมเพศ ส่วนทางด้านสิงคโปร์และพม่าต่างมีกฎหมายห้ามการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกัน
และหากเทียบในกลุ่มเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้แล้ว แม้หลายประเทศจะไม่ได้มีกฎหมายห้ามชาวสีม่วง ทว่าชาวรักร่วมเพศก็ยังไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างจนบางครั้งอาจนำไปสู่ “การลงโทษทางสังคม” ตามมา เช่น การจับจ้องและซุบซิบนินทาในสังคม ที่ทำให้ชาวสีม่วงรู้สึกไม่สบายใจที่จะแสดงตัวตนออกมา
ชื่อเสียงประเทศไทย ยังได้รับความสนใจจากทั่วโลกหลังมีข่าวเตรียมเสนอกฎหมายรับรองการแต่งงานของกลุ่มชาวสีม่วงเมื่อปีที่ผ่านมา จนอาจทำให้ไทยเป็นชาติแรกในเอเชียที่ให้การรับรองสถานะทางกฎหมายเช่นนี้ ซึ่งจะยิ่งทำให้ไทยแลนด์กลายเป็นเป้าหมายการเดินทางของกลุ่ม LGBT จากทั่วทุกมุมโลกอย่างคาดไม่ถึง
เรื่องนี้ “เล็ก” ฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ ฝ่ายสื่อสารสารสนเทศ มูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ บอกเล่าถึงการต่อสู้ด้านกฎหมายเพื่อผลักดันให้กลุ่มรักร่วมเพศได้สิทธิรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมายว่า ปัจจุบันการผลักดันกฎหมายเพื่อให้จดทะเบียนสมรสได้มีอยู่ 2 แนวทางของกลุ่มด้วยกัน คือ 1.กลุ่มหลากหลายทางเพศ ที่เดินหน้ากฎหมายนี้ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และอยู่ในชั้นกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร แต่ขณะนี้ตกไปแล้ว เพราะมีการยุบสภา และ 2.กฎหมายที่ผลักดันโดยมูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ ร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งกำลังเดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบ และมีแนวโน้มว่าจะสำเร็จ
“ที่เราต้องต่อสู้ผลักดันกฎหมายที่เดินเกมโดยมูลนิธิฯ เพราะมีความครอบคลุมมากกว่ากลุ่มเครือข่ายทางเพศ แต่เราก็สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้ เพราะกฎหมายที่เรากำลังทำเป็นรูปแบบที่ครอบคลุมเหมือนกับกฎหมายการจดทะเบียนของคู่รักตามปกติ คือ สามารถกระทำได้ตั้งแต่อายุ 17 ปีขึ้นไป แตกต่างจากของกลุ่มเครือข่ายทางเพศ ที่ระบุว่าจะจดทะเบียนสมรสได้เมื่ออายุถึง 20 ปีเท่านั้น”
“หากกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้ ก็ถือว่าเป็นความสุขเป็นสวรรค์ของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศจะได้รับ ซึ่งไม่ได้พิเศษอะไรเลย เพียงแต่เป็นสิทธิที่พึงจะมีได้อยู่แล้วเท่านั้น” เล็ก บรรยาย
กฎหมายที่ เล็ก ฉันทลักษณ์ พูดถึง ยังอยู่ในช่วงหลักการเพื่อยกร่างเนื้อหา เรียกว่า พ.ร.บ.คู่ชีวิตฉบับภาคประชาชน มีหลักการ 8 ข้อ อาทิ บุคคลที่เป็นคู่รักต่างเพศสามารถจดทะเบียนได้ และมีสถานะเช่นเดียวกับคู่สมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว สามารถได้รับสิทธิต่างๆ ตามที่กฎหมายอื่นได้บัญญัติ ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสต้องอยู่กินด้วยการให้ความเคารพตามหลักแห่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การจัดการทรัพย์สินเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายครอบครัว โดยสามารถจำแนกเป็นสินส่วนตัวซึ่งแต่ละคนได้มาก่อนการสมรสและสินสมรสที่ได้มาภายหลังการสมรส การสิ้นการสมรสด้วยการหย่าเป็นไปตามความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย การรับบุตรบุญธรรมของบุคคลสามารถกระทำได้
อเล็ก เฉิน อายุ 35 ปี นักธุรกิจชาวออสเตรเลีย ที่พบรักกับหนุ่มไทย เชื่อว่า ประเทศไทยน่าจะผ่านกฎหมายเปิดรับกับเพศที่สามได้ไม่ยาก ซึ่งก่อนหน้านี้ไต้หวันเคยผลักดันกฎหมายการแต่งงานของเพศเดียวกัน แต่ก็ยังไม่เป็นผล
“ประเทศไทยบุกเบิกมาต่อเนื่อง และเป็นประเทศที่ต้อนรับคนกลุ่มนี้ มีแหล่งท่องเที่ยวที่รองรับเฉพาะกลุ่ม รองรับไลฟ์สไตล์ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและไนต์ไลฟ์”
เฉิน บอกว่า หากไทยผ่านกฎหมายดังกล่าว และตัวเขามีคู่ชีวิตเป็นคนไทย ก็พร้อมย้ายเข้ามาทำงานในเมืองไทย เพราะจะได้รับสิทธิทุกอย่างเหมือนกับการสมรสของชายหญิง เช่น สิทธิในการเป็นผู้อยู่อาศัย ตลอดจนสวัสดิการต่างๆ
“เพศที่สามหรือการสมรสของเพศชายหญิงต่างก็เหมือนกัน มีศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่าเทียมกัน ดังนั้น ไม่มีอะไรที่การแต่งงานของเราจะแตกต่างจากผู้อื่น” เฉิน กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ร่างกฎหมายรองรับสิทธิกลุ่มรักร่วมเพศ จะต้องล่มกลางคันไปพร้อมกับปัญหาทางการเมือง เนื่องจากมีการยุบสภา แต่ประเทศไทยก็ยังคงเป็นจุดหมายการเดินทางชั้นนำของกลุ่มชาวสีม่วงทั่วโลก จากแพ็กเกจงานแต่งงานที่น่าดึงดูดทั้งแบบริมทะเล ตามประเพณีแบบไทย ล้านนา หรือจะดำน้ำใต้ทะเล ก็มีให้เลือกในราคาย่อมเยา ซึ่งสำหรับชาวสีม่วงจำนวนมากแล้ว สถานะการรองรับทางกฎหมายอาจไม่ได้สำคัญมากไปกว่าความสุขทางใจของคนทั้งคู่
อันดับ 2 ของโลก คู่เกย์บินแต่งงาน
สมศักดิ์ สุวรรณมาลี เจ้าของร้าน www.weddingdayonline.com เปิดเผยว่า แนวโน้มกลุ่มคู่เกย์แต่งงานในไทยมีมากขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เป็นผลจากทางสหรัฐได้ประกาศกฎหมายออกมาแล้วยอมรับให้การแต่งงานระหว่างคู่เกย์นั้นเป็นการแต่งงานที่ถูกกฎหมาย คาดว่าปัจจัยนี้เองจะทำให้กระแสคู่เกย์ต่างชาติที่เข้ามาแต่งงานในไทยยิ่งเติบโตมากเข้าไปอีก โดยภาพรวมตลาดอเมริกาคาดว่าจะมีกลุ่มคู่เกย์แต่งงานเติบโตไม่ต่ำกว่า 200250% ส่วนกลุ่มคู่เกย์ที่มาแต่งงานในไทยน่าจะโตไม่ต่ำกว่า 60% ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองวุ่นวายในไทยที่เป็นปัจจัยกระทบว่าจะจบเมื่อไหร่ จบเร็วการเติบโตก็สูง
ทั้งนี้ ไทยจัดเป็นจุดหมายแต่งงานยอดนิยมอันดับ 2 ของโลก รองจากลอนดอน และกลุ่มเกย์ก็นิยมมาแต่งงานในไทย เนื่องจากวิวทิวทัศน์ ชายทะเลสวยงาม ที่สำคัญค่าใช้จ่ายถูกกว่าเมื่อเทียบกับแต่งงานที่ประเทศอื่น เฉลี่ยแล้วแพ็กเกจแต่งงานสำหรับเกย์นั้นอยู่ที่ 5 หมื่นบาท ถึง 6 แสนบาท แม้จะสูงกว่าคู่แต่งงานทั่วๆ ไปเริ่มต้นที่ 3 หมื่นบาท แต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่นมากๆ ขณะเดียวกันคู่เกย์ที่มาแต่งงานในไทยยังมีแนวโน้มใช้จ่ายสูงกว่าคู่แต่งงานทั่วไป เนื่องจากนิยมเลือกองค์ประกอบหลายอย่างในการแต่งงานที่หรูหรากว่า เช่น ดอกไม้ราคาแพงขึ้นกว่าดอกไม้ที่คู่แต่งงานทั่วไปใช้ และเลือกแชมเปญที่ใช้ฉลองแต่งงานราคาแพงกว่า เป็นต้น
สมศักดิ์ ระบุว่า หากเจาะลึกไปถึงจุดหมายในไทยที่ได้รับความนิยมสูงจากกลุ่มนี้ เป็นจังหวัดชายทะเลทางภาคใต้ อันดับ 1 คือ ภูเก็ต อันดับ 2 และ 3 สลับกันไปมา คือ สมุยและพังงา เป็นผลจากภาคใต้มีบุคลากรที่พร้อมบริหารจัดการด้านจัดงานแต่งงานต่างชาติ สามารถพูดภาษาต่างประเทศได้ วิวทิวทัศน์ของสถานที่ก็สวยงาม ต่างจากชายทะเลภาคตะวันออก ที่ขาดการจัดการที่ดี
อย่างไรก็ตาม แม้การแต่งงานของคู่เกย์จะนิยมสูงขึ้น แต่การแข่งขันของตัวแทนจำหน่ายแพ็กเกจแต่งงานคู่เกย์ก็รุนแรงเช่นกัน เพราะทุกคนต่างก็เห็นศักยภาพการเติบโตของตลาดนี้ ผู้ประกอบการบางรายถึงขั้นไปลงทุนตั้งสาขาในประเทศที่มีกลุ่มเป้าหมายสูง เช่น ออสเตรเลีย กันเลยทีเดียว
กุลชลี ทรัพย์สินอุดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แบงคอก แมทชิ่ง ผู้ประกอบธุรกิจจัดหาคู่ เล่าว่า บริษัทได้เปิดธุรกิจจัดหาคู่สำหรับกลุ่มลูกค้าผู้หญิงและผู้ชาย รวมถึงลูกค้าที่รักเพศเดียวกัน หรือกลุ่มลูกค้าชายรักชาย โดยพบว่าหลังเปิดให้บริการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลูกค้ากลุ่มชายรักชาย มีประวัติการศึกษาและการทำงานที่ดีมาก มีเงินเดือนในระดับสูง มีหลากหลายอาชีพ ส่วนใหญ่ที่เข้ามาสมัครสมาชิกหาคู่จะมีอายุ 35 ปี
ซึ่งถือว่าตลาดดังกล่าวมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาก และมีลูกค้าสมัครเพิ่มมากขึ้นทุกปี
“คู่รักชายรักชายที่เข้ามาใช้บริการหาคู่ เพราะอยากหาคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน อยากใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่ออยู่ด้วยกันแล้วมีความมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น หากคนรักกันสองคนอยากจดทะเบียนสมรส ก็ควรที่จะมีกฎหมายมารองรับ เพราะคนรักกันก็ควรจะส่งเสริม เป็นเรื่องปกติ ที่หลายประเทศก็มีกฎหมายดังกล่าวแล้ว” กุลชลี กล่าว
ไม่เพียงแต่จุดเด่นด้านการท่องเที่ยวและการจัดงานแต่งงานเท่านั้น แต่ความได้เปรียบหรือที่บางคนอาจเรียกว่าเป็นช่องโหว่ทางกฎหมาย ยังทำให้ไทยแลนด์ขึ้นชื่อในเรื่องการเป็นแหล่ง “อุ้มบุญ” ของชาวสีม่วงจากทั่วโลกอีกด้วย
การที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการตั้งครรภ์แทนเหมือนในหลายประเทศ ประกอบกับชื่อเสียงของไทยในเรื่องการแพทย์ที่ทันสมัยและมีราคาย่อมเยา ส่งผลให้ธุรกิจอุ้มบุญในไทยกลายเป็นที่แพร่หลายมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มรักร่วมเพศ ซึ่งมีเว็บไซต์หลายสิบเว็บเปิดให้บริการทั้งในและต่างประเทศ
ปัจจุบันมีกลุ่มชาวสีม่วงในหลายประเทศนิยมใช้บริการดังกล่าวในไทย เช่น ชาวอิสราเอล ซึ่งเป็นข่าวโด่งดังไปเมื่อช่วงต้นปี เนื่องจากกระทรวงมหาดไทยอิสราเอลไม่ให้สัญชาติแก่เด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญในเมืองไทย จนส่งผลให้มีเด็กทารกถึงราว 65 คน ต้องอยู่รอกระบวนการทางกฎหมายในประเทศต้นทางอย่างไทย และนำไปสู่การรณรงค์กดดันกันภายในประเทศ ก่อนที่รัฐบาลกรุงเทลอาวีฟ จะผ่อนปรนยอมแก้กฎหมายให้ในที่สุด
เมื่อโลกเปลี่ยนไป สังคมยอมรับความรักที่ไม่มีพรมแดนเรื่องเพศมากีดขวาง...