สืบจากสืบ ศศิน เฉลิมลาภ

10 กุมภาพันธ์ 2557

โดย...ตุลย์ จตุรภัทร–เตย เพ็ญศรี / ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์

โดย...ตุลย์ จตุรภัทร–เตย เพ็ญศรี / ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์

ผมตกหลุมรักหนังสือเล่มหนึ่ง

พอๆ กับที่ผมตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง!!!

อะ อะ อะ อย่าเพิ่งคิดมากและคิดไปไกลครับ ที่ผมตกหลุมรักหนังสือเล่มหนึ่งที่มีผู้เขียนเป็นชายหนุ่มวัยกลางคนนั้น มันเป็นเรื่องที่ใครก็ตกหลุมรักได้ เพียงได้อ่านเนื้อหาที่เขาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ และยิ่งได้พูดคุยกันในประเด็นต่างๆ ของหนังสือ ยิ่งโคตะระจะตกหลุมรักกันเลยทีเดียวเชียว

และหนังสือเล่มนั้นก็มีชื่อว่า “ผมทำงานให้พี่สืบ” หนังสือที่เป็นการรวบรวมบทบันทึกการทำงานด้านอนุรักษ์ป่าตลอดระยะเวลา 10 ปีของ “ศศิน เฉลิมลาภ” ในนามของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร “หนังสือเล่มนี้รวบรวมและร้อยเรียงเรื่องราวจากการที่ผมได้ลงพื้นที่ต่างๆ ตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยมีบรรณาธิการของสำนักพิมพ์เป็นคนช่วยเหลือ ซึ่งสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้จะมาจากเหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาที่เกิดขึ้น”

ศศิน เผยว่า เขาอยากให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่า งานของนักอนุรักษ์เขาทำอะไรกัน โดยส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่ามูลนิธิสืบนาคะเสถียรกำลังทำอะไรอยู่

“ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ หลายคนไม่รู้ว่าพวกผมทำอะไร คนส่วนใหญ่รู้จักแต่คุณสืบ รู้แค่ว่าคุณสืบคือคนที่ตายที่ห้วยขาแข้ง แต่ไม่มีใครรู้จักคนที่กำลังทำงานอนุรักษ์ป่ากันอยู่”

ศศิน บอกเล่าว่า แต่ก็เป็นจังหวะดีที่เขามีคนรู้จักผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์บ้างในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตอนที่เขาออกไปคัดค้านการทำเขื่อนแม่วงก์ นี่จะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้บทบันทึกแบบเรียบง่ายไม่หวือหวาเหมือนวรรณกรรมของเขาเล่มนี้ ได้รับความสนใจจากสาธารณะบ้างไม่มากก็น้อย

“สุดท้ายหนังสือเล่มนี้ ผมคิดว่ามันเป็นบันทึกที่บอกความรู้สึกนึกคิดของผม การวิเคราะห์ การตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่างด้วยยุทธศาสตร์แบบนักอนุรักษ์ของผม ซึ่งคงไม่มีใครรู้มากเท่าไรว่าการจะเข้าไปอนุรักษ์ คัดค้านเขื่อน หรือเข้าไปแก้ปัญหาในชุมชนนั้นต้องทำอย่างไร เพราะการอนุรักษ์ที่แท้จริงมันไม่ใช่การออกไปปลูกป่า สะพายถุงผ้า มันมีอะไรมากกว่านั้น”

สืบจากสืบ ศศิน เฉลิมลาภ

 

จากการพลิกผันจากเป็นอาจารย์ มาเป็นนักอนุรักษ์เต็มตัว ศศิน เผยว่า นี่เป็นการพลิกผันที่ทำให้เขาได้ใช้พลังงาน ได้ใช้ความรู้ ความสามารถเต็มที่ ได้ใช้ทุกอย่างเกินร้อยเปอร์เซ็นต์หมด

“ผมคิดว่ามันคุ้มค่า พูดได้ว่าอะไรที่ผมได้เรียนรู้มาในชีวิต หรือในเรื่องของความรู้ที่เรียนมา ผมได้เอาทักษะความรู้พวกนั้นมาใช้ ถึงจะใช้ได้ไม่หมดโดยตรง ผมเรียนจบปริญญาโทด้านธรณีวิทยามาก็จริง แต่ผมถนัดในเรื่องของการสร้างระบบข้อมูล สร้างการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ผมก็ได้เอาความรู้เหล่านี้มาใช้กับชุมชนในป่า รวมถึงประสบการณ์ คือทุกอย่างที่ผมมีมาตั้งแต่เด็กยันโต ผมก็ได้เอามาใช้ให้เป็นงานหมด แม้แต่ทักษะในการเล่นน้ำ ทักษะในยามที่เกิดเหตุการณ์คับขัน การขับรถทางไกล ทุกอย่างที่เรียนรู้มาผมเอามาใช้หมด รวมทั้งจากที่เคยอ่านจากหนังสือเล่มที่ผมอ่านตอนเด็กๆ เช่น เรื่องเพชรพระอุมา หรือล่องไพร ผมก็เอาความรู้ที่ได้มาใช้ มาวางกลยุทธ์ หรือการทำยุทธศาสตร์ต่างๆ เรียกได้ว่าทุกอย่างสามารถเอามาใช้ได้หมด”

ในส่วนของผลการตอบรับที่ผู้อ่านได้รับจากหนังสือเล่มนี้ ศศิน เผยว่า เขายังไม่รู้ เขารู้เพียงแค่ว่า เขาอยากให้คนทุกรุ่นได้อ่านหนังสือเล่มนี้ อยากให้มีคนมาสนับสนุนสิ่งที่เขาทำ

“จริงๆ แล้วที่ผมรวบรวมงานเขียนจนเป็นหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เพียงเพราะผมอยากจะบอกให้ทุกคนได้รู้ว่า ทางมูลนิธิของเรายังต้องการคนเข้ามาสนับสนุนงานเราอยู่ ใครสามารถเข้ามาช่วยทำงานได้ก็มา ใครอยากจะสนับสนุนเรื่องเงิน ผมก็ยินดี อยากจะสนับสนุนด้านความรู้ ผมก็ต้องการ แม้แต่สนับสนุนโดยการให้กำลังใจ ผมก็ยินดีรับไว้”

ศศิน ได้เผยความในใจต่อว่า งานที่เขาทำ ไม่ใช่ว่าไปเดินป่าขนาดที่จะเป็นจะตาย หรือขนาดที่ต้องออกไปต่อสู้กับคนทำลายป่า อาชีพของเขาไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น

“ถ้าหนักขนาดนั้นคงต้องเป็นหน้าที่ของผู้พิทักษ์ป่า หรือกรมป่าไม้ แต่หน้าที่ผมคือผู้ขับเคลื่อนด้วยเชิงนโยบาย ทำยังไงก็ได้ที่จะสามารถช่วยเหลือและลดความขัดแย้งระหว่างผู้ที่อาศัยอยู่ในป่ากับกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติฯ ถ้าเกิดว่าเขายังทะเลาะกันอยู่ โอกาสที่จะอนุรักษ์ป่าไม้ต่อไปได้ด้วยดีคงน้อย หน้าที่ของผมคือหาทางออกให้เกิดความร่วมมือกันให้ได้ เป็นเรื่องที่จะต้องผลักดันกันต่อไป”

จากวันนั้นจนวันนี้ เป็นเวลา 10 ปี ที่ศศินเผยว่า ต่อให้ทำเท่าไร มันก็ยังไม่เสร็จ และก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จหรือเปล่า

“ผมมาอยู่ตรงนี้ก็เป็นเหมือนจุดตรงกลางของทั้งสองฝ่าย ผมรู้ว่าผมจะไปทางไหน ผมมั่นใจว่าผมเดินมาไม่ผิดทาง แต่ทว่าภาวะทางการเมือง หรือความใหญ่โตของระบบทางราชการ มันล้วนเป็นอุปสรรคใหญ่ที่เราจะต้องรับมือกับมันต่อไป ผมเคยพูดกับทางทีมงานของผมว่า เราหยุดแล้ว พอแค่นี้ดีไหม อายุเรามันก็มากเกินกว่าที่จะเข้าไปจัดการ เจ้าหน้าที่ของผมที่เคยเข้าไปฝังตัวอยู่กับพวกชาวบ้าน เขาก็ไม่ไหว เขาต้องมีครอบครัว แต่ถึงยังไงพวกเราก็ยังคงต้องทำหน้าที่กันต่อไปครับ” ศศิน กล่าวสรุป

Thailand Web Stat