Sempu Island แดนสวรรค์อันซ่อนเร้น
มีโอกาสมาถึงประเทศอินโดนีเซียทั้งที ถ้าไม่ได้ไปทะเลก็คงเหมือนมาไม่ถึง
มีโอกาสมาถึงประเทศอินโดนีเซียทั้งที ถ้าไม่ได้ไปทะเลก็คงเหมือนมาไม่ถึง เพราะประเทศนี้เป็นประเทศที่มีหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยเกาะกว่า 17,000 เกาะ ซึ่งเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลมากมาย
ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนว่า จุดเริ่มต้นการเดินทางในครั้งนี้ เรามีเป้าหมายคือการศึกษาเส้นทางท่องเที่ยว ทางเกาะชวาตะวันออก เราเริ่มต้นที่เมืองสุราบายา แล้วไปต่อกันที่ภูเขาไฟโบรโม เมืองบาตูและมาสิ้นสุดที่เมืองมาลัง ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลในเขตมหาสมุทรอินเดีย และมีลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์ เป็นหาดทรายมากกว่าป่าชายเลน เราจึงไม่ลังเลที่จะลองไปสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลในบริเวณนั้น
การเดินทางจากตัวเมืองมาลังไปยังพื้นที่ชายฝั่ง มีระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ขับรถใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงที่หมู่บ้านเซินดังบิรู (Sendang Biru) หมู่บ้านชาวประมงที่เป็นที่ตั้งของตลาดประมูลและซื้อขายปลาที่ใหญ่ที่สุดในเขตชวาตะวันออก ซึ่งตลาดปลาแห่งนี้มีชื่อเสียงอย่างมาก ในการเป็นแหล่งรับซื้อปลาทูน่าครีบเหลือง เพราะทะเลในบริเวณนี้เป็นเส้นทางอพยพที่สำคัญของปลาทูน่าครีบเหลือง ซึ่งหนีความหนาวเย็นไปสู่น่านน้ำในมหาสมุทรอินเดียที่มีอุณหภูมิอบอุ่นกว่า ปลาชนิดนี้เป็นปลาเศรษฐกิจสำคัญ มีการซื้อขายกันในราคาสูงมาก เพราะเป็นวัตถุดิบสำคัญของซูชิ สุดยอดอาหารญี่ปุ่นที่เน้นการคัดสรรปลาทูน่าที่ดีที่สุด เพื่อเฟ้นหา “โทโร่” หรือส่วนที่เป็นท้องปลา ซึ่งเป็นส่วนที่มีราคาแพงที่สุด จึงเป็นปลาที่มีความต้องการจากภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นทั่วโลก ดังนั้น ตลาดปลาแห่งนี้จะแน่นขนัดไปด้วยเรือประมงนับพันลำ และพ่อค้ารับซื้อปลาในช่วงเดือน เม.ย.ต.ค. ของทุกๆ ปี
ส่วนในฤดูปิดอ่าวเพื่อให้ปลาวางไข่ ชาวประมงบางส่วนจะผันตัวเองมาให้บริการเรือรับส่งนักท่องเที่ยวไปยังเกาะเซ็มปู (Sempu Island) ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับหมู่บ้านเซินดังบิรู ซึ่งชาวอินโดนีเซียเรียกเกาะแห่งนี้ว่า “The Hidden Paradise Island” จะจริงหรือไม่มาถึงแล้วก็ต้องไปพิสูจน์
การนั่งเรือข้ามไปยังเกาะเซ็มปู ต้องมาขึ้นเรือที่ท่าเรือเซินดังบิรูเท่านั้น ใช้เวลานั่งเรือเพียง 10 นาที ก็จะมาถึงจุดเริ่มต้นเส้นทางเดินเท้าบนเกาะ เกาะแห่งนี้มีความกว้าง 3.6 กิโลเมตร ยาว 4 กิโลเมตร เป็นพื้นที่อนุรักษ์และวิจัยพันธุ์สัตว์ป่า มีเส้นทางเดินเท้าประมาณ 4 กิโลเมตร โดยปกติใช้เวลา 2 ชั่วโมงก็จะถึงที่หมาย แต่ในช่วงฤดูฝนอาจใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมง ซึ่งคืนก่อนที่เราจะเดินทางมา มีฝนตกลงมาอย่างหนักบนเกาะแห่งนี้
เบื้องหน้าของเราคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยโคลนหนา ทำให้เราจำใจต้องถอดรองเท้า แล้วเดินด้วยเท้าเปล่า ซึ่งก็ไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวที่เดินสวนทางมาในสภาพเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยโคลน ทำให้เป็นช่วงเวลาที่ต้องคิดหนักว่า จะหยุดหรือจะไปต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจอกับเส้นทางที่ลาดชัน อีกทั้งลึกลงไปใต้โคลน คือก้อนหินและรากไม้ลื่นๆ ก็ยิ่งสร้างความเจ็บปวดไปทั้งฝ่าเท้า และยังทดสอบจิตใจของเราตลอดทาง จนในที่สุดเราก็มาถึงปลายทางอันเป็นที่มาของคำว่า “The Hidden Paradise Island” นั่นก็คือเวิ้งทะเลสาบ ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาหินปูน มีน้ำทะเลสีมรกตและหาดทรายสีขาว ซึ่งเกิดจากพลังการกัดกร่อนโดยคลื่น ก่อให้เกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่ ทำให้น้ำทะเลภายนอก เอ่อล้นทะลักเข้ามาขังและกัดเซาะเป็นเวลาหลายล้านปี จนเกิดเป็นทะเลสาบสวยงามตระการตา จึงเป็นหนึ่งปลายทางในฝันของวัยรุ่นชาวอินโดนีเซียในการมาพิชิตที่นี่สักครั้งหนึ่งในชีวิต คล้ายกับวัยรุ่นไทยอยากไปพิชิตภูกระดึง
เกาะชวาฝั่งตะวันออก เป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่หลากหลายด้วยรสชาติ และมากไปด้วยประสบการณ์ เราเริ่มต้นที่เมืองสุราบายา ทำความรู้จักกับเมืองที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของประเทศและบ้านเกิดของวีรบุรุษผู้กอบกู้เอกราช จากนั้นเราไปยังภูเขาไฟโบรโม เพื่อยลโฉมสุดยอดภูเขาไฟที่มีวิวทิวทัศน์ตระการตา ต่อจากนั้นไปยังเมืองบาตูและเมืองมาลัง เพื่อสัมผัสกับเมืองตากอากาศที่มีอากาศเย็นสบาย และยังเป็นแหล่งปลูกแอปเปิ้ลใหญ่ที่สุดในประเทศ จนกระทั่งมาถึงปลายทางสุดท้าย นั่นก็คือเกาะเซ็มปู ที่ถึงแม้ว่าจะเจอกับอุปสรรคของเส้นทางเดินเท้า ที่เต็มไปด้วยโคลนหนาตลอดการเดินเท้า 4 กิโลเมตร แต่ก็รู้สึกคุ้มค่ากับปลายทาง ถึงตรงนี้ก็ต้องบอกว่าอินโดนีเซียได้กลายเป็นอีกหนึ่งในที่สุดของปลายทาง ที่อยากจะกลับมาเยือนให้ได้ทุกๆ ปี เพื่อค้นหาความเป็น Wonderful Indonesia ขอขอบคุณสายการบินการูด้า อินโดนีเซีย ที่สนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้