หลากมุมส่วนตัวของกฤษณ์ ณรงค์เดช
“กฤษณ์ ณรงค์เดช” พี่ชายคนโตของครอบครัวณรงค์เดช ทายาทเครือเคพีเอ็น กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น
โดย...บงกชรัตน์ สร้อยทอง
“กฤษณ์ ณรงค์เดช” พี่ชายคนโตของครอบครัวณรงค์เดช ทายาทเครือเคพีเอ็น กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท เคพีเอ็น กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โครงการขนาดใหญ่ 1,500-3,000 ล้านบาท อย่าง โครงการคอนโดมิเนียม เดอะแคปปิตอล ราชปรารภวิภาวดี เดอะแคปปิตอล เอกมัยทองหล่อ และเดอะ ดิโพลแมท สาทร
ตลอดการใช้ชีวิตของเขา 44 ปี ของ “กฤษณ์” ยามว่างเขาชอบเดินทางท่องเที่ยวไปที่ต่างๆ เพราะการท่องเที่ยวกลับทำให้เราเปิดสัมผัสรับรู้สิ่งใหม่ โลกใหม่ วัฒนธรรมใหม่ ศิลปะใหม่ๆ เข้ามา ซึ่งหลายครั้งที่ไปต่างประเทศ โดยเฉพาะอิตาลีจะชอบไปนั่งดูตึก นั่งดูศิลปะที่แอบอยู่ในมุมต่างๆ ของที่นั่น และในที่สุดก็สามารถปรับมาใช้กับงานหรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเขาได้
“เหมือนเราได้แรงบันดาลใจ ทำให้เกิดมุมมองใหม่ของตัวเองแล้วไปปรับในธุรกิจ ซึ่งหลายครั้งมันได้ผลเรื่องการท่องเที่ยวเป็นสิ่งหนึ่งอย่างน้อยทุกปีต้องมีโอกาสเดินทางไป เหมือนเราได้ไปเรียนรู้โลกใหม่ๆ จากการเดินทางและเชื่อว่ามันไม่มีทางสิ้นสุดสักอย่าง” กฤษณ์ เล่า
แม้วันนี้เขาไม่มีคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช แม่ซึ่งเป็นบุคคลที่เขารักมากที่สุดแล้ว
แรกๆ ของการใช้ชีวิตเขายอมรับว่าลำบากมาก พยายามจะปรับตัวให้ใช้ชีวิตปกติได้ก็ยากเย็น จนท้ายสุดก็บอกว่าต้องทำตัวเหมือนเดิมในทุกๆ เรื่อง เพียงแต่ไม่เห็นแม่เท่านั้น
อย่างเช่นจะเริ่มเดินทางใหม่เพื่อไปญี่ปุ่น ก็พยายามทำเหมือนทุกๆ ครั้ง โดยจะบอกแม่ว่าไปญี่ปุ่นนะ ผมจะโน่นนี่นั่น แม่ไปกับผมนะ...คือ จะทำอะไรก็จะบอกกล่าวเขาเหมือนเดิม เพราะเชื่อว่าแม่คงรับรู้ และเมื่อมีก้าวแรกที่กล้าเผชิญความจริงออกมา ในวันที่เขาต้องเริ่มใช้ชีวิตโดยไม่มีคุณแม่แล้ว มันก็จะมีก้าวๆ ต่อมา จนวันนี้เขาคิดว่าทุกอย่างเริ่มโอเคขึ้น
อีกส่วนหนึ่งของชีวิตของหนุ่มวัย 44 ปีคนนี้ ที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด คือ การมีเวลาให้กับสุดรักดั่งดวงใจลูกฝาแฝดหญิงชายที่ปัจจุบันอายุ 7 ขวบกันแล้ว คือ น้องพิมพ์ พิมพ์พิศา และน้องภัทร ณภัทร การเลี้ยงลูกของเขาคือ อิสระไปตามใจคิด อย่าไปกะเกณฑ์อะไรเขามาก เขาควรมีความสุขในวัยของเขา เราแค่คอยดูเขา ประคองเขา เพราะเราเคยผ่านอะไรมาแล้วว่า ถ้าเราเป็นเด็กเราจะรู้ว่าอะไรที่เราอยากทำ อะไรที่เราไม่อยากทำ เขาจึงเป็นคุณพ่อคนหนึ่งที่ไม่อยากวางกรอบอะไรให้ลูกไว้มากมาย และมีไม่น้อยที่เขาจะใช้มุมส่วนตัวในการพาลูกๆ ไปท่องตระเวนเที่ยวที่ต่างๆ ด้วยกันตามประสาคุณพ่อกับคุณลูกทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะเชื่อว่าเด็กๆ เขาก็จะมีมุมเรียนรู้ในมุมของเขา อีกทั้งเขาจะได้รู้จักดูแลรับผิดชอบตัวเองได้เริ่มง่ายๆ จากการเดินทาง
ขณะที่อีกมุมหนึ่งของผู้ชายคนนี้คือ การเล่นโยคะและการศึกษาเรื่องจิตของมนุษย์มานานหลายปี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกนิ่งขึ้นได้ เพราะส่วนตัวเขาจะเป็นคนคิดเร็วพูดเร็วด้วย พอได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้เขาเลยรู้สึกว่ามันช่วยได้จริงๆ ทำให้ทุกอย่างในชีวิตก้าวเดินไปอย่างมีสติ ซึ่งก็นำมาปรับใช้ได้มากตอนคุณแม่จากเขาไป
เขาพยายามทำให้จิตมีความสมดุลในทุกๆ ด้าน ซึ่งก็ทำให้สามารถบริหารชีวิตส่วนตัวกับบริหารงานได้อย่างสมดุล
ปัจจุบัน “กฤษณ์” ยังบอกว่าก็พยายามศึกษาและปฏิบัติตามไปเรื่อยๆ มันสนุกและมันได้ผลดี โดยเรื่องราวพวกนี้ส่วนใหญ่มาจากการอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นอีกมุมหนึ่งที่เขาชื่นชอบมาก
“ทุกวันนี้ในมุมนักธุรกิจอาจจะต้องมีแผนงานหลายๆ ปี แต่สำหรับชีวิตส่วนตัวผมจะพยายามให้เน้นกับสิ่งที่เป็นปัจจุบันให้มากที่สุด และเชื่อว่าจิตของคนส่วนใหญ่จะมักไปเน้นกับเรื่องราวในอนาคต เมื่อจิตคิดไปไกลไปอยู่กับตัวหรือปัจจุบัน ข้อผิดพลาดๆ ต่างๆ จะเกิดขึ้นง่าย
“ถ้าเราเน้นมีสติกับสิ่งที่เป็นอยู่ เราก็จะเลือกทำแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เรารัก นักธุรกิจหลายคนที่เขาประสบความสำเร็จก็เชื่อว่า เขามีความสุขที่จะทำงาน รักที่อยากเห็นธุรกิจเติบโต โลกนี้ไม่มีใครฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบได้ทุกวันหรอก และเมื่อเราทำสิ่งที่รักและชอบก็จะกลายเป็นพลังบวกทำสิ่งดีๆ ไป และผลลัพธ์ที่กลับมาหาเราก็จะมีแต่เรื่องราวดีๆ กลับมาหาเรา ผมเชื่ออย่างนั้น” กฤษณ์ เล่าทิ้งท้าย